rgb72 Blog, Technology, Internet Marketing, Hardware, Software, and Web Design Reviews

วันจันทร์ที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓

Japanese Design

ไปญี่ปุ่นในช่วงหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา ได้เก็บเกี่ยวภาพและงาน design ที่ได้เห็นจากญี่ปุ่นมากมาย วันนี้เลยถือโอกาสเอามาให้ได้ดูกัน

ในแต่ละประเทศ จะมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง จีน อเมริกา อังกฤษ ไทย และแน่นอน ญี่ปุ่น

สิ่งที่สังเกตได้จากการได้มอง design ของญี่ปุ่นผ่านสินค้ายี่ห้อต่างๆที่โด่งดังเช่น Muji หรือ UNIQLO ทำให้พอเข้าใจได้ว่า design ของญี่ปุ่นนั้นมักจะมีความเรียบง่าย (Simplicity) สะอาดและสวยงาม และแน่นอนต้องสามารถใช้งานได้อย่างดีที่สุดด้วย

หนึ่งในงาน design ที่ได้ไปดูนั้นเป็นการไปชม museum ของ Toyota ที่ชื่อว่า Mega Web

ที่ Mega Web จะแบ่งออกเป็น 3 ตึก 3 ส่วนคือ



หนึ่งส่วนที่แสดงรถยนต์รุ่นล่าสุดและรถยนต์แห่งอนาคตของ Toyota พูดง่ายๆคือเหมือน Toyota จัดงาน Motorshow ของตัวเองตลอดปี ในตึกความสูง 2 ชั้น แห่งนี้จะมีรถยนต์ของ Toyota และ Lexus ไว้แสดงให้คนได้ทดลองนั่ง สามารถลองเปิดปิดรถยนต์ กดปุ่มทุกปุ่มได้ไม่ยั้ง ที่ชอบมากๆ ก็คือพนง.ของ Toyota ไม่มีมายุ่งวุ่นวายหรือทำท่าทางหวงของแต่อย่างใด เห็นมีเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งเข้าไปใน Lexus IS450 แล้วไปกระทืบคันเร่งแรงๆ ทางพนง.ก็ยังไม่ว่าอะไรเลย นอกจากประโยชน์ในด้านการได้ทดลองนั่งแล้ว สิ่งที่เห็นอีกอย่างคือ การให้เด็กได้มีประสบการณ์ในการทดลองรถยนต์จริงๆแบบไม่ต้องกลัวโดนผู้ใหญ่ว่า มันน่าจะทำให้เด็กกล้าที่จะลอง กล้าที่จะทำ ได้อย่างไม่ต้องกลัวใครต่อไป



ที่ชั้นล่าง มีโซนที่ให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการขับรถแข่งด้วยเครื่อง simulator ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วดูเหมือนเครื่องเล่นเกมตู้ยังงัยยังงั้น แถมตอนเริ่มเกมมี logo เกม Granturismo ขึ้นมาอีกก็เข้าใจได้ว่า คงเอาเกมมาให้ได้ลองเล่นขำขำน่ะ แต่เอาเหอะ ที่นี่ ทุกอย่างฟรี

และเนื่องด้วยการให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน อย่างที่เราพอจะรู้ว่ารถยนต์ระดับแนวหน้าทุกยี่ห้อก็พยายามจะที่เน้นในเรื่องของ Green Product และแน่นอน Toyota ก็ไม่พลาดเรื่องนี้เช่นกัน

สิ่งที่ Toyota มีในปัจจุบันก็คือรถยนต์ Hybrid รุ่น Prius (พรีอุส) ที่ใช้ระบบการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ที่ตึก Mega Web นี้ สิ่งที่เป็น highlight สำคัญของที่นี่อีกอย่างก็คือการได้ทดลองนั่งรถที่เป็น Green จริงๆ คือรถพลังงานไฟฟ้าล้วน

การจะได้ทดลองนั่งนั้นเราต้องไปต่อคิว และรถจะวิ่งมาจอดเพื่อให้เราได้เข้าไปนั่งกัน

อย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นการทดลองนั่ง ไม่ใช่ทดลองขับ รถไฟฟ้าที่ว่าจะเคลื่อนที่ไปตามทางโดยอัตโนมัติ ส่วนเราก็ทำหน้าที่นั่งเฉยๆ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการให้รถขับเคลื่อนไปได้นั้น เค้าจะให้มีจุดที่ถนน เป็นจุดที่จะบอกรถยนต์ว่าให้วิ่งไปทางไหน โดยที่ตัวรถจะมีเครื่องที่คอยอ่านจุดต่างๆนั้น



ตัวเทคโนโลยีนี้ผมเคยเห็นทดลองกันครั้งแรกสมัยที่อยู่อเมริกา เค้าทดลองให้รถสามารถขับเองได้โดยการให้รถมีเครื่องตรวจจับเซนเซอร์แบบนี้ แล้วก็ให้วิ่งไปตามจุด ซึ่งก็คาดหวังกันว่าอยากให้รถยนต์ในอนาคตมีเครื่องเซนเซอร์แบบนี้กันทุกคัน จากนั้นเค้าจะใช้ระบบอัตโนมัติแบบนี้กับการเดินทางระยะไกลที่มีเส้นทางที่แน่นอน เช่นจากรัฐอาริโซน่า ไปยัง แคลิฟอร์เนีย ที่มีเส้นทางหลักเป็นทางหลวงเส้นเดียว และใช้ระยะเวลาในการเดินทาง 6ชั่วโมง ข้อดีก็คือ เมื่อเราเข้าสู่เส้นทางนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องขับรถอีกต่อไป แค่นั่งไปเรื่อยๆ จะนั่งคุยกัน จะนั่งเล่นเกม เล่นไพ่ ก็ตามสบาย แถมคนขับยังจะหันมาเล่นด้วยได้อีก ที่สำคัญถ้าคนขับจะหลับในก็สามารถทำได้ และหากถึงที่หมายแล้ว ก็สามารถขับรถออกมาจากเลนที่มีเครื่องเซนเซอร์นี้ รถก็จะเป็นอิสระ

อาคารส่วนที่สองคือ History of Toyota หรือประวัติศาสตร์รถยนต์ของ Toyota นั่นเอง ผมไม่ได้เข้าไปดูที่นี่นะครับ เพราะเข้าใจว่าเป็นการแสดงรถโบราณเก่าๆของ Toyota เลยตัดสินใจเดินไปอาคารที่สามดีกว่า

อาคารที่สามนี่น่าสนใจมาก เพราะในนี้จะแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการออกแบบโดยเฉพาะ และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกับรถยนต์เท่านั้นแต่จะเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆที่มีการออกแบบที่เรียกว่า Universal Design

Universal Design ก็คือการออกแบบเข้าของเครื่องใช้ต่างๆ ทั้งนี้เพื่อเน้าการใช้งานที่ง่ายและสะดวกสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เป็นสำคัญ





งานหลายๆชิ้นที่นำมาแสดงก็เป็นงาน redesign ลองดูจากภาพ



งานแรกนี้คือ จานกินข้าว จานทางด้านซ้ายคือจานปกติที่กินกันอยู่ หากเราเอาช้อนมาตักขนมที่อยู่จานจะไม่สามารถตักได้ เพราะว่าขนมจะล้นออกมาทางด้านข้าง นอกจากจะต้องใช้ส้อมเป็นตัวช่วย แต่จานทางด้านขวาซึ่งมีการออกแบบใหม่ โดยการเพิ่มขอบจานเข้ามาเท่านั้น ก็จะทำให้สามารถตักขนมได้โดยไม่หก



งานที่สองคือ กรรไกรตัดกระดาษ ที่มีส่วนของพลาสติกเข้ามาช่วยให้ไม่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก และที่ดีไปกว่านั้นคือเมื่อไม่ต้องการใช้งานแล้ว สามารถบีบส่วนของที่จับสองข้างเข้าหากันเพื่อทำการเก็บล็อคใบมีดภายในให้ไม่เปิดค้างไว้ตลอดเวลา



งานที่สามคือแม่เหล็กติดกระดาน ของเดิมจะเป็นแบบที่เห็นทางด้านซ้ายมือ แต่ของใหม่คือทางด้านขวาที่มีลักษณะเป็นยางสามารถบีบเข้าหากันได้ โดยในคำอธิบายได้บอกว่า เป็นตัวแม่เหล็กที่ช่วยลดการใช้พลังงานของเราเวลาแกะแม่เหล็กออก จากเดิมที่ต้องใช้พลัง (ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้มาก) ดึงแม่เหล็กออกจากกระดาน แต่คราวนี้แค่เราบีบตัวแม่เหล็กนี้ทำให้ไม่ต้องใช้พลังในการดึงออกอีกต่อไป นอกจากนี้ตัวแม่เหล็กยังทำด้วยยางที่มีลักษณะนุ่ม ทำให้รู้สึกนุ่มมือเมื่อบีบอีกด้วย



งานที่สี่คือการออกแบบภาชนะใส่น้ำซอสของญี่ปุ่น จากเดิมที่เป็นภาชนะเหลี่ยมๆธรรมดา คราวนี้ก็ทำให้เป็นรูปร่าง พอเราใส่น้ำซอสลงไปแล้วก็จะเห็นรูปร่างปรากฎชัดเจนขึ้น ทำให้ดูสวยงามน่าสนใจ (ไม่แน่ใจว่าแบบนี้เมืองไทยก็มีแล้วรึเปล่า เห็นเหมือนคุ้นๆ)



งานที่ห้า เห็นแล้ว งง ว่าคืออะไร แต่พออ่านคำอธิบายก็รู้ว่า นี่คือที่จับหม้อหรือภาชนะที่มีความร้อนนั่นเอง ออกแบบง่ายๆ ใช้ง่ายๆ ไม่ต้องใส่ถุงมือขนาดใหญ่ที่ทำด้วยผ้าแล้วเวลาจับก็กลัวจะหลุดมืออีก อันนี้ง่ายๆ เล็กๆ แต่เหนียวหนึบเพราะวัสดุที่ใช้นั้นเป็นยาง





งานที่หกคือปลั้ก ปลั๊กตัวนี้ผมเห็นขายแล้วในเมืองไทยที่ร้าน iStudio ราคาแพงใช้ได้ หลักการก็คือ เมื่อเราเสียบปลั๊กไปแล้ว บางทีมันยากที่จะดึงออก ก็ให้กดที่พลาสติกสีส้มนี้ ปลั๊กก็จะเด้งหลุดออกมาอย่างง่ายดาย หรือแบบที่สองก็เช่นกัน บีบที่ตัวสีส้มทั้งสองด้าน แล้วปลั๊กก็จะหลุดออกมา สองตัวนี้ต่างกันที่ ตัวแรกจะใช้งานที่เต้ารับ ส่วนอีกตัวจะใช้งานที่ตัวปลั๊กเสียบเองเลย



ตัวสุดท้ายนี่ชอบมาก เห็นทีแรกก็งงเช่นเคย จริงๆแล้วมันคืออุปกรณ์ช่วยในการถือถุงพลาสติก เวลาเราไปเดินตลาดแล้วซื้อของก็จะได้ถุงพลาสติกใส่ของมา ซื้อหนึ่งร้านหนึ่งถุง ซื้อห้าร้านห้าถุง เรื่องถุงนี่ไม่เท่าไร่ แต่เรื่องความหนักของมันก่อให้เกิดปัญหานั่นคือ ทำให้เราเจ็บมือ ยิ่งหนักก็ยิ่งเจ็บเหมือนมันบาดนิ้ว อุปกรณ์นี้จึงมีหน้าทีลดความเจ็บตรงนั้นด้วยการให้เราจับไว้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เอาไว้แขวนถุงพลาสติก ไอเดียการออกแบบแค่นี้ แต่ว่าเจ๋งมากๆ ช่วยลดความเจ็บมือไปได้ชะงัก

การไปญี่ปุ่นคราวนี้นอกจาก Mega web ที่ให้ความรู้และเปิดโลกแล้วนั้น อีกที่หนึ่งที่อยากจะพูดถึงก็คือการได้ไปเข้าร้าน Apple ที่ กินซ่า เป็น official Apple store ที่มีความสูง 5 ชั้น มีอะไรต่างๆที่น่าตื่นเต้นมากมาย ไว้จะมาเขียนแล้ว post ให้ได้อ่านกันอีกครั้ง

๒ ความคิดเห็น:

tuckky กล่าวว่า...

ขอบคุณ คุณสิทธิพงษ์ อ่านแล้วได้ความรู้มาก ๆ เลยครับ

The Fortune Wheel กล่าวว่า...

เป็นประโยชน์ให้กล้าคิดมากขึ้น
เห็นเขาออกแบบบางทีก็เป็นงานที่เคยเห็นแล้ว
แต่งานที่ช่วยแก้ปัญหา
หรือสร้างความสะดวกสบายมากขึ้น
ชวนให้รู้สึกว่าชีวิตมีสีสัน ^ ^