rgb72 Blog, Technology, Internet Marketing, Hardware, Software, and Web Design Reviews

วันอังคารที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เรื่องเล่าหน้าเตาถ่าน



หยุดปีใหม่นี้ไม่ได้ไปเที่ยวไหน.. อยู่บ้านตลอด 10 วันที่ได้หยุดยาวๆนี้ เลยตั้งใจว่าจะตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือ และ อ่านหนังสือให้ได้เยอะๆ (แต่ว่าบัดนี้ผ่านมา 4 วันแล้ว เพิ่งจะเขียนหนังสือไปได้สองหน้า และ อ่านหนังสือไปได้แค่ 10กว่าหน้าเท่านั้นเอง) อย่างไรก็ตาม วันนี้ไปเดินร้านหนังสือมา ได้ไปพบหนังสือของพี่อุ้ม สิริยากร ที่ทุกครั้งที่ได้เห็นหนังสือ ผมก็มักจะซื้อเอามาเก็บไว้ ทั้งๆที่บางครั้งก็ไม่ได้อ่าน หรือบางครั้งเรื่องราวในหนังสือไม่ได้ match กับ lifestyle ของผมซักเท่าไร่ แต่ว่าที่ซื้อก็เพราะว่า design ที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ในทุกๆเล่ม

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมซื้อหนังสือที่มีชื่อว่า เรื่องเล่าหน้าเตาถ่าน เป็นหนังสือสอนทำกับข้าว (บอกแล้วว่าเนื้อหาไม่เหมาะกับผม) ซึ่งครั้งแรกที่หยิบดูคือ design ภาพรวมของหนังสือ ภาพถ่าย นอกจากนี้พอได้อ่านๆดูคร่าวๆ ก็พอว่าวิธีการเขียนหนังสือนั้น อ่านง่าย ไม่ทำให้ยุ่งยากซับซ้อน

จริงๆแล้ว หนังสือของพี่อุ้มไม่ได้ออกแบบได้สวยโดดเด่นกว่าคนอื่นมากมาย ถ้าพูดถึงหนังสือของสำนักพิมพ์อืนๆก็มี design ออกมาสวยๆ มากมาย บางเล่มดูหน้าปกแล้วสวยมาก อยากอ่าน เหมือนหนังสือต่างประเทศ แต่พอหยิบดูด้านในแล้ว ก็ไม่ได้สวยอย่างที่เห็น (คือว่าสวยแต่หน้าปก) หรือพอหยิบดูด้านในแล้ว ภาพ graphic อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะมากมาย รกไปหมด

เอาเป็นว่า วันนี้แนะนำให้ลองหยิบหนังสือเล่มนี้ที่ร้านหนังสือมาดูละกันครับ ไม่ได้ค่าสปอนเซอร์แต่อย่างใด

วันจันทร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

Inside Steve's Brain


ช่วงนี้กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Inside Steve's Brain เขียนโดย Leander Kahney ซึ่งได้รับการแปลเป็นไทยแล้วชื่อ "ผ่าความคิด สตีฟ จอบส์" โดยคุณสิทธิ หลีกภัย สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป หนังสือเล่มนี้ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นหนังสือที่พูดถึงแนวความคิดและสิ่งต่างๆที่อยู่ในหัวของเจ้าของสินค้าและแบรนด์ระดับโลกอย่าง Apple

ความเป็น Steve Jobs ที่ถูกกล่าวขวัญอย่างมากว่าเป็นคนที่ละเอียดมาก เก็บเนียนในทุกๆจุด ยกตัวอย่างเช่น Scroll Bar ที่ใช้อยู่ใน OSX version ล่าสุดนั้น ใช้เวลาปรับแก้ และออกแบบเป็นเวลานานกว่า 3 เดือนเลยทีเดียว หรืออย่าง Interface ของ Quicktime ที่ใช้คนกว่าครึ่งโหลในการออกแบบ และนำเสนอแบบใหม่ๆ ทุกๆอาทิตย์ซึ่งกว่าจะลงตัว ก็ใช้เวลาหลายเดือนเช่นกัน

Steve Jobs นั้นดูละเอียดลึกเรียกได้ว่าเป็น pixel เลยทีเดียว ต้องบอกว่า พออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเลยรู้ว่า ทำไมเราถึงได้รู้สึกดีกับทุกครั้งที่ได้ใช้ product ของ Apple ตั้งแต่แกะกล่อง

การแปลของหนังสือเล่มนี้มีงงอยู่บ้างเล็กน้อย ก็เข้าใจว่าการแปลจากอังกฤษเป็นไทย โดยเฉพาะบางคำที่เป็นทับศัพท์นั้น เวลาแปลออกมาแล้ว ทำให้สับสนอยู่พอสมควร เช่นคำว่า "กล่องสนทนา" ที่อ่านอยู่นานแล้วก็งงว่าคืออะไร กว่าจะรู้ว่าเป็น Dialog Box นี่ก็ผ่านไปแล้วครึ่งบท

หนังสือเล่มนี้ recommend สำหรับผู้ที่ชอบ mac และผลิตภัณฑ์ของ Apple หรือ ถ้าคุณเป็น Designer หรือคนที่อยากรู้เบื้องหลังของการออกแบบงานที่เนียบๆ เล่มนี้ก็ใช่เลย แต่ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่เหมาะกับนักธุรกิจ..​เพราะมุมของของ Steve Jobs ในการบริหารงาน ในการจัดการเรื่องคน การเลือกสินค้าที่จะเอาออกไปขายนั้น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาจริงๆครับ (สรุปแล้ว เชียร์ให้ทุกคนอ่าน)

วันพุธที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ตรวจงาน B.A.D. Awards



วันนี้ยินดีมากที่ได้มีโอกาสไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินงาน B.A.D. Award ในหมวด Digital ซึ่งได้ถูกแบ่งย่อยออกเป็น 3 หมวดคือ กลุ่ม Banner, Website, และ Viral+Other โดยคณะกรรมการทั้งหมดที่มีในหมวดนี้มีทั้งหมด 5 คน ส่วนระยะเวลาในการตัดสินนั้น กินเวลาไปทั้งบ่ายวันนี้เลยทีเดียว

นี่เป็นครั้งแรกในการตัดสินงาน B.A.D. Awards ซึ่งต้องยอมรับว่าปวดหัวพอสมควร เนื่องจากงานที่ส่งเข้ามาประกวดนั้นมีประมาณ 60 ชิ้น และแต่ละชิ้นนั้นก็มีความ creative ที่แตกต่างกันไป มีความเนียบในการทำงานที่แตกต่างกันไป บางงานก็ทำดี graphic สวย แต่การใช้งานยาก บางงานดูน่าสนใจมาก แต่ว่าไม่ตอบโจทย์ทางการตลาด คือไม่สามารถ present ตัวสินค้าหรือจุดประสงค์หลักของการทำ banner หรือเว็บไซต์ได้

คราวนี้มีงานที่น่าสนใจเข้ามาก็คือ การทำ Game บน iPhone ซึ่งเป็นงานของ Mazda มีงาน banner ที่ creative มากหลายอัน และงาน video ขำขำต่างๆที่อาจจะได้เคยเห็นแล้ว ก็มาอยู่ในหมวดของ viral ด้วย (งานอย่าง AIS ที่มีพี่แก้ว Ogilvy One ก็เข้ามาร่วมประกวดด้วย)

งานที่ติดใจมากๆ ก็คืองานเว็บไซต์ TCDC mechanic alives ซึ่งงานนี้ไม่ทราบว่าใครทำ แต่ว่าเล่นแล้วสนุกดี interactive ก็ดี graphic ก็สวย เสียงก็ใช้ได้เลยทีเดียว

การตัดสินนั้นแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ขึ้นตอนแรกคือการตัดสินว่าจากงานทั้งหมด 60 ชิ้นนี้มีงานไหนเข้ารอบบ้าง จากนั้นก็ไปตัดสินต่อว่า งานที่เข้ารอบนี้ งานไหนจะได้รางวัลอะไร ซึ่งการตรวจงานใช้เวลาตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงช่วงเย็นมากๆ ซึ่งก็ต้องบอกว่าเหนื่อยแต่ได้เห็นงานมากมาย สนุกดีครับ

วันจันทร์ที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

China web design



เข้าเว็บแล้วอ่าน blog ไปเรื่อยๆ เจอเว็บของจีนอยู่เว็บหนึ่ง มีการวาง layout และ design ได้ยุ่งดีมากๆ เห็นแล้วมึน text เยอะไปหมด เลยเอามาฝากกัน

หรือจะเข้าไปดูของจริงได้ที่ http://www.people.com.cn

วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

S&P ที่สุวรรณภูมิ

วันนี้ไปแวะสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินแห่งความภาคภูมิของคนไทยมาครับ วันนี้ไปรับคนกลับมาจากต่างประเทศ ไปถึงก่อนเวลาเลยมีเวลามากพอที่จะให้ได้เดินเล่นกัน

เดินไปเดินมาหาของกินไปเรื่อยก็พบกับร้าน S&P ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น 3 ของสนามบิน มีการนำไม้มาวางเป็นตารางสี่เหลี่ยมแนวทแยง ดูแล้วแปลกตาดี โดยไม้แต่ละชิ้นนั้นก็ไม่ได้ดูพิเศษอะไรมาก มีแต่เหลี่ยมของไม้ที่มีไว้รับกับแสงที่ส่องมาจากเพดานด้านบน และอีกด้านของไม้ที่ไม่ได้รับกับแสงก็จะเกิดเงามืดบริเวณนั้นขึ้น ทำให้ภาพรวมๆของไม้แนวตารางทแยงนี้ดูดีมีมิติสุดๆครับ

จ้องไปจ้องมา (เพราะนั่งอยู่ตรงนั้น) ก็สังเกตุเห็นว่า แต่ละด้านของไม้นั้น มีสีที่แตกต่างกัน มีสีสว่างบ้าง เป็นสีไม้โอ๊คดำบ้าง สลับกันไปแบบมี pattern และเป็น pattern ที่หาได้ยากจริงๆ เพราะว่าดูตั้งนาน จนตอนหลังต้องไปยืนจ้องใกล้ๆว่า ตกลง pattern นี่มันมีการ repeat กันตรงไหนบ้าง (อธิบายมาไม่รู้ว่าเข้าใจกันมั้ย) เอาเป็นว่า ถ้ามีโอกาสได้ไปสนามบิน ลองไปดูร้าน S&P นะครับ เป็นการออกแบบร้านที่ทำได้ดู simple มากๆ แต่ว่าดีและ work สวยงามสุดๆครับ


วันพุธที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เกาหลี (ตอนที่1)

เพิ่งกลับจากเกาหลีมาได้ 2 วัน เลยตั้งหน้าตั้งตารีบเขียนซะก่อนจะลืม ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ไปเกาหลี ก็ได้เห็นสิ่งของแปลกหูแปลกตาไปเรื่อย ว่าแล้วก็ไม่ลืมที่จะเก็บข้อมูลอะไรดีดีกลับมาฝากกัน

เก็บอะไรมาได้บ้าง
ไปคราวนี้ไปกับทัวร์ เลยได้พูดคุยกับหัวหน้าทัวร์ซึ่งเป็นคนเกาหลี ได้รู้เรื่องราว วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และประวัติศาสตร์นิดหน่อยของเกาหลี นอกจากนี้ไปเดิน 7-11 ก็ไม่วายไปถ่ายรูปสินค้าแปลกตา package สวยๆมาให้ดูอีกต่างหาก ซึ่งนอกเหนือจากเมืองที่ศิวิลัยสุดๆ ไปคราวนี้ถือว่าโชคดี เพราะที่เกาหลีมีงาน Seoul Design Olympiad 2008 ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่มาก จัดที่สนามกีฬาที่ทางเกาหลีเคยใช้ในงาน Olympic เมื่อปี 1988 ด้วย


งาน Design Olympiad 2008

Korean's Life
ไปถึงเกาหลีก็ได้สังเกตดูตึกรามบ้านช่อง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ โดยในวันแรกๆ ได้ไปเดินเล่นอยู่แถบชนบท ส่วนสองวันหลังก็ได้ไปอยู่ในเมือง ซึ่งหลังจากที่ได้ไปเดินในเมือง ได้ขึ้นรถก็ได้สังเกตเห็นว่า
1. ถนนที่เกาหลีนี่เรียบเนียน สวยสะอาด สีถนนชัดเจนไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ
2. คนที่นี่อยู่กันใน คอนโด ซะส่วนใหญ่ ซึ่งถึงแม้จะมีมากมาย แต่ก็มีการจัดให้เป็นระเบียบ มีการทาสี และตัวเลขกำกับเพื่อแบ่ง zone
3. ตึกที่กำลังก่อสร้างอยู่นั้น จะมีการป้องกันฝุ่นและอันตรายจากอิฐหรือก้อนหินที่อาจจะหล่นลงมา โดยใช้แผงพลาสติกกั้น แต่หากแผงพวกนี้ก็มีสีสันสวยงาม ดูแล้วไม่เก่าๆ ขาดๆ


บรรยากาศตามท้องถนน (ชานเมืองนิดๆ)

นั่งอยู่บนรถ Taxi ก็เห็นว่าที่นี่เค้ามีติด GPS กันแทบจะทุกคัน อย่างที่เรารู้กันว่า GPS มีไว้บอกทาง มีเสียงบอกว่าให้เราชิดซ้ายชิดขวา เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา แต่ว่า GPS ที่นั่นทำมากกว่านั้น นั่งไปนั่งมาได้ยินเสียง GPS (ซึ่งใช้เสียง alert set เดียวกันกับ MSN Messenger) ร้องเตือนขึ้นมา และมีตัวอักษรเป็นเลข 60 ขึ้นมาตัวใหญ่ๆ ซึ่งมีข้อความเตือนว่า ขณะนี้คุณได้ขับรถเร็วกว่าที่กฏหมายกำหนดไว้ คือที่เกาหลีนี่จะมีกล้องคอยจับผู้กระทำผิดกฎจราจรอยู่เป็นระยะๆ ดังนั้นหากขับรถเร็วเกินกำหนด ตัว GPS นี้ก็มีหน้าที่ช่วยเตือน เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ตำรวจเค้าจะไม่ได้มายืนรอเราอยู่ตั้งสะพานลอยเหมือนเมืองไทย แต่จะส่งใบสั่งพร้อมค่าปรับไปให้ตรงถึงที่บ้าน

ลืมบอกไปว่า ที่เกาหลีนี่ขับรถพวงมาลัยซ้าย (ตรงข้ามกับของไทย) และคนเกาหลีส่วนใหญ่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้ (ซึ่งอันนี้จะเหมือนๆ คนไทย) และคนเกาหลีเป็นคนที่รักชาติ เป็นพวกชาตินิยมเอามากๆ ไกด์ที่ไปด้วยเล่าว่า ก่อนหน้านี้ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในเกาหลีมีราคาสูงมาก เพราะว่าทุกอย่างเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ทำให้รายได้กับค่าใช้จ่ายนั้นไม่ลงตัวกัน ทางรัฐบาลจึงพยายามสนับสนุนให้มีการผลิตสินค้าและใข้กันเองภายในประเทศให้มากขึ้น โดยในช่วงแรกนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung ก็ผลิตสินค้าออกมามากมาย แต่ก็ไม่มีใครซื้อ จนกระทั่งทางรัฐบาลของเกาหลีต้องมาออกทีวี รณรงค์ให้มีการใช้ของที่ผลิตกันภายในด้วยกันเอง

คนเกาหลีจึงนิยมใช้ของที่ผลิตภายในประเทศมากมาย มองไปทางไหนก็จะเจอแต่ยี่ห้อใหญ่ๆอยู่ไม่กี่เจ้า เช่น Samsung, LG, Hyndai ประมาณนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเกาหลีเคยเป็นประเทศที่ผ่านศึกสงครามมากมายมาก่อน จึงน่าจะเป็นผลทำให้คนเกาหลีเองไม่อยากจะกลับไปอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่แบบนั้นอีก จึงเป็นแรงผลักดันให้คนในชาติรักกันเอง ทำอะไรก็ได้เพื่อชาติ และสนับสนุนสินค้าภายในประเทศ

มองตามถนนจะเห็นว่า รถยุโรปนั้นจะหาน้อยมาก รถ Benz รถ BMW เจอแทบจะนับคันได้ แต่ว่ารถที่เห็นเป็นจำนวนมากเลยก็คือ Hyndai สินค้ามือถือระดับโลกอย่าง Nokia ทีเป็นที่หนึ่งในหลายๆประเทศ แต่ก็ไม่สามารถตี brand Samsung ในเกาหลีได้เลย หรือเว็บไซต์ Google ซึ่งเป็นเว็บไซต์ search engine ระดับโลก ก็ยังไม่สามารถชิงความเป็นหนึ่งมาจากเว็บไซต์ local อย่าง naver.com

ถึงแม้วิถีชีวิตของคนที่นี่ที่เป็นคนเจ้าระเบียบ ตั้งใจทำงาน ที่ดูแล้วจะเหมือนวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น แต่คนเกาหลีเองก็ไม่ชอบให้ตัวเองถูกเรียกอย่างนั้น เพราะว่าในสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ระหว่าง ญี่ปุ่น และเกาหลีนั้นไม่ค่อยจะดีนัก เรื่องอาหารการกินและการรักษาสุขภาพของตัวเองนั้น เกาหลีก็ให้ความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ

อาหาร ชีวิตและสุขภาพของคนเกาหลี

ระหว่างที่ไปมา 4 วัน สิ่งที่ได้กินมาตลอดก็คือ เนื้อย่างเกาหลี แบบที่ปิ้งกันบนเตานั่นล่ะ และอีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ กิมจิ เลยทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า กินแบบนี้ทุกวันๆ ไม่กลัวจะเป็นมะเร็งหรอ กินแต่ของไหม้ๆ

ไกด์สาวผมบอกว่า เนื้อย่างเกาหลีนี้ถือว่าเป็นอาหารชั้นดีสำหรับเค้า จะมากินก็เฉพาะในโอกาสพิเศษ กินกันก็ประมาณเดือนละครั้ง หรือ สองเดือนครั้งไม่ได้บ่อยมาก แต่ว่าที่บ่อยมากก็คือ กิมจิ คือกินทุกวัน มีทุกมื้อ

ผมก็สงสัยต่อว่า แล้วไอ้กิมจิเน๊ยะ มันเป็นของดองนี่ มันไม่น่าจะดีแต่สุขภาพซักเท่าไร่

ไกด์อธิบายต่อว่า เค้ามีกิมจิอยู่มากกว่า 200 ชนิด และแต่ละชนิดก็คือผัก ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน และจุลินทรีย์ทีได้จากการหมัก ทำให้คนเกาหลีไม่เป็นโรคง่าย แข็งแรง เพราะไม่ค่อยได้กินเนื้อ เธออ้างว่า นิตยสาร Scientific American จัด rating อาหารที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุดในโลก 5 อันดับ โดย กิมจิก็เป็นหนึ่งในนั้น รองจาก โสมเกาหลี ที่ติดชาร์ตสูงสุดอยู่ที่อันดับ 1


กิมจิ ผักดองสำคัญในทุกมื้ออาหาร

คนเกาหลีเป็นคนที่รักสุขภาพมาก ดังนั้นมักจะไม่ค่อยเห็นคนอ้วนมากๆ ในเกาหลี โรงอาหารของเด็กในช่วงประถมนั้นจะไม่มีขายน้ำโค๊กเลย จะมีแต่น้ำผลไม้ เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะโรงอาหารทุกโรงจะต้องถูกควบคุมคุณภาพโดยรัฐบาลเกาหลี

อาหาร hot hit ของที่นี่ที่ได้ไปลองมาแล้วก็คือ "นมกล้วย" เป็นนม ที่เค้าว่าได้มาจากกล้วย รสชาติหอม หวานนิดๆ มันมากหน่อย ทีแรกไม่รู้หรอกว่าคืออะไร แต่เห็นคนมาซื้อจากเซเว่นออกไปเป็นลังๆ เลยคิดว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ ซึ่งนอกจากนมกล้วยแล้วก็คือขนมอีกมากมาย เช่นขนมแป้งกลมๆนี้ เป็นขนมที่มีลักษณะเป็นแผ่นแป้งบางๆ สองชั้น ปิ้งแล้วนำมาประกบกัน โดยมีใส้ Cinemon หรือ Chocolate


นมกล้วย


ขนมแผ่นบางๆใส้ Cinemon

เกาหลีและการท่องเที่ยว

ช่วงหลายปีให้หลังนี้ เราจะได้เห็นหนัง และละครจากประเทศเกาหลีเยอะแยะมากมาย โดยแต่ละเรื่องก็มีความสนุกสนานแตกต่างกันไป ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ ผมเองก็ไม่ค่อยจะได้เห็นประเทศเกาหลีอยู่ในสายตาว่าจะไปท่องเที่ยวซักเท่าไร่ ไม่ใช่แค่ไม่คิด แต่ว่าได้ยินจากคนที่เคยไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วกลับมาแล้วบอกว่า คนเกาหลีมารยาทแย่มากๆ แต่ช่วงปีหลังๆที่เกาหลีมีการพัฒนาอย่างมากมาย บริษัทท่องเที่ยวและประเทศเกาหลีเองก็เริ่มที่จะทำการโปรโมทประเทศตัวเองเพื่อหานักท่องเที่ยวเข้าไปประเทศ โดยโปรแกรมที่เป็น hi-light มากๆเลยก็คือ โปรแกรมตามรอยละครเกาหลี

ไปคราวนี้ผมเองก็ไม่ได้พลาดเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น แดจังกึม, Full House, Winter Love Song ก็ได้ไปมาหมด (ทั้งๆที่หนังก็ไม่เคยได้ดู แล้วพอไปถึงก็งงๆอยู่ว่านี่มันฉากไหนกัน เคยเห็นแต่ poster) แต่ว่าที่ไปก็เพราะว่ามันอยู่ในโปรแกรมทัวร์ของเกาหลีที่เหมือนว่าใครๆ ไปก็ต้องไปเยี่ยมเยียนสถานที่เหล่านี้ ก่อนหน้านี้ที่ผมได้เห็นว่าฉากการถ่ายทำหนังอยู่ในโปรแกรมทัวร์ ก็ทำให้ผมร้องอ๋อและทึ่งในประเทศเกาหลีว่า แทนที่เค้าจะมาเน้นเรื่องศิลปะวัฒนธรรมเพื่อชักจูงคนเข้าประเทศ แต่เค้ากลับเอาหนัง และละครที่คนติดกันงอมแงมมาเป็นตัวชูโรงแทน อย่างนี้จะเรียกว่า Blue Ocean ได้รึเปล่าน้าา

ซึ่งเกาหลีเองก็มาได้ถูกทางจริงๆ คนแห่แหนกันเข้าเกาหลีก็เพื่อมาดูสถานที่เหล่านี้ เพราะว่าศิลปะของเกาหลีเองว่ากันตรงๆแล้ว สู้ประเทศไทยไม่ได้เลย จากที่ได้ไปตามวัดวาอาราม รวมไปถึงปราสาทที่ต่างๆ ก็พบว่า ศิลปะและสถาปัตยกรรมของเค้านั้น ดูธรรมดามาก วังแต่ละวังถูกสร้างเป็นรูปแบบเดียวกัน การทำลวดลายก็มีเพียงแค่เอาสีมาวาดๆ ต่างจากของไทยเราที่การจะทำผนังวัด ต้องเอากระจกเป็นชิ้นเล็กๆ มานั่งแปะให้ติดๆกัน ดูแล้ววัดไทยเรา ละเอียดกว่าเยอะ ผมเองก็ได้ยินคนต่างชาติพูดมาเหมือนกันว่า ถ้าได้ไปวัดพระแก้วของไทยเราแล้ว ที่นี่ดูแล้วธรรมดามากๆ





วังเก่าของเกาหลี

(รอตอน 2 เรื่อง เกาหลี และ Design)

วันอังคารที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ผลสำรวจข้อมูลผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไทย 47.5% ใช้ Hi5

*** Copy มาจาก blognone.com (บอกเลยตัวโตๆ) พอดีเห็นว่าเป็น content ที่มีประโยชน์และน่าจะได้ส่งต่อกันไปเยอะๆ ดังนั้น... ***

เนคเทคได้สำรวจข้อมูลผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเป็นประจำทุกปี รายงานของปี 2551 ซึ่งเก็บข้อมูลระหว่างเดือน ส.ค. และ ก.ย. เพิ่งออกมาเมื่อต้นเดือนนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถาม 14,809 คน ผมคัดมาเฉพาะสถิติอันที่น่าสนใจ แบบเต็มๆ ดูกันเองตามลิงก์นะครับ

- สัดส่วนการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากที่ทำงานเพิ่มมากขึ้น ใช้งานจากร้านเน็ตลดลงฮวบ และใช้งานจากที่บ้านลดลงเล็กน้อย (สรุปว่าแอบเล่นในเวลางานกันนั่นเอง)
- ADSL และใช้เน็ตผ่านมือถือเพิ่มขึ้น ส่วน dial-up ลดลงตามคาด
- กิจกรรมยอดนิยมออนไลน์ เรียงตามลำดับ: ค้นหาข้อมูล อีเมล อ่านข่าว
- ปัญหาที่คิดว่าสำคัญ เรียงตามลำดับ: ไวรัส แหล่งยั่วยุทางเพศ เน็ตช้า
- จำนวนคนตอบว่าไวรัสใกล้เคียงกับของปีก่อน แต่แหล่งยั่วยุทางเพศ ได้คะแนนเพิ่มขึ้นเกือบ 20% (42.6 มาเป็น 60.6)
- จำนวนคนเคยซื้อของออนไลน์ เพิ่มขึ้นจาก 28.9% มาเป็น 45.9% ในปีนี้
- ทำไมไม่ซื้อของออนไลน์ เรียงตามลำดับ: ไม่ไว้ใจผู้ขาย ไม่ได้ลองสินค้า ไม่มั่นใจระบบชำระเงิน ขั้นตอนยุ่งยาก ไม่อยากให้เลขบัตรเครดิต
- สินค้าที่นิยมซื้อออนไลน์ เรียงตามลำดับ: หนังสือ การสั่งจองต่างๆ ภาพยนตร์ (ส่งพัสดุ)
- อันดับสามของข้อที่แล้ว เปลี่ยนจากเพลงออนไลน์มาเป็นภาพยนตร์
- สาเหตุที่ไม่ใช้บรอดแบนด์ เรียงตามลำดับ: ราคาแพง ไม่จำเป็น ไม่รู้ข้อมูล
- 69.7% มีบล็อกหรือไดอารี
- วัตถุประสงค์การใช้บล็อก เรียงตามลำดับ: ค้นหาข้อมูล เขียนบันทึก แสดงตัวตน
- เว็บไซต์สังคมออนไลน์ยอดนิยม: Hi5 (47.5%) Wikipedia (14.4%) YouTube (12.6%) MySpace (3.8%)
- 66.8% มองว่าควรกำกับดูแลสังคมออนไลน์ เพื่อความปลอดภัยของเยาวชน (72.7%) และความสงบสุขของสังคม (17.7%)

สำหรับไฟล์ PDF จาก NECTEC สามารถ download ได้จากที่นี่ครับ

วันพฤหัสบดีที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

Dear Adobe

ช่วงนี้กำลัง research เรื่องของ Adobe CS4 ที่กำลังจะออกมา อ่านไปอ่านมากลับไปเจอเว็บหนึ่งที่น่าสนใจชื่อ www.dearadobe.com โดยเว็บนี้เป็นเว็บที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Adobe แล้วก็ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการแสดง feedback กลับไปหา Adobe เอง ซึ่งเมื่ออ่านแล้ว นอกจาก feedback ที่เห็นเยอะมากๆ อย่างเช่น ขอให้ Adobe ช่วยลดราคา Software ลงหน่อย หรือ ช่วยทำให้ program นั้นมีขนาดเล็กลง และทำงานได้เร็วมากขึ้นกว่าเดิมนั้น ผมก็ได้เจอ feedback ที่โดนใจอีกหลายอันอยู่ จึงขอยกมาให้อ่านๆ กันหน่อย ลองดูว่าคิดเห็นกันยังงัย

"ขอให้มี Style Sheet ใน Photoshop เผื่อจะได้เปลี่ยน design บางอย่างเช่น font ได้ทีเดียว"

"ขอให้ Photoshop มี Search สำหรับ Layer"

"ทำไม Acrobat ถึงต้อง update สอง สามครั้งต่อเดือน และใช้เวลาเปิดโปรแกรมนานกว่านาที เพียงแค่จะอ่าน PDF file"

"ช่วยพัฒนาตัว FTP ใน Dreamweaver ให้มันดีกว่านี้หน่อย"

"อยากให้ Flash ใน Mac สามารถทำงานได้เร็วและดีเหมือนใน Windows"

"ช่วยทำให้ตัวเลข version number ในการ update มันเข้าท่ากว่านี้หน่อย.. ไม่เข้าใจเลยสำหรับตัวเลขอย่างเช่น version 9.0.124.0 สำหรับ April Security Update หรือ 9.0.115.0 สำหรับ Flash Player 9 Update 3????.. หากจะให้ดี ต่อไปนี้ช่วย update เป็น 10.1 ตามด้วย 10.2 และ 10.3 แบบนี้"

วันเสาร์ที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ข่าวสั้น

มา update ข่าวแบบสั้นๆ กันหน่อย
ถือว่าเป็นการรวบรวมเอาข่าวคราวความคืบหน้าคร่าวๆ มาให้ได้รับทราบกัน

Google Chrome
หลังจากที่ Google Chrome ออกมา มีคนเขียน blog และข่าวถึงการให้ download กันมากมาย blog72 เลยคิดว่าอาจจะไม่จำเป็นต้องเขียน เพราะคิดว่าคนอ่านอาจจะได้รู้ข่าวจากหลาย source มามากจนลี่ยนแล้ว

Browser ตัวใหม่จาก Google ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีข่าวคราวมากมายเหมือน Google Android แต่ว่า feedback ที่ได้รับนั้นถือว่าค่อนข้างดีมาก จาก "get clicky analytics service" วัดจำนวนคนใช้ได้ 1.92833% จาก 45,000 เว็บไซต์ ซึ่งแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในช่วงทดลองอยู่ นั่นหมายความว่า ยังมีโอกาสที่ตัวเลขของคนที่ใช้ Google Chrome นี้อาจจะลดลงเพราะไม่ประทับใจด้วยการ uninstall ตัว program ออก หรือก็ไม่แน่เช่นกันว่า หากประทับใจ ก็อาจจะ set Chrome เป็น browser default ของเครื่องเลยก็เป็นได้

สำหรับผมตอนนี้ยังไม่ได้ set เป็น default เพราะว่ายังสังเกตเห็นอาการต๊องๆอยู่บ้าง และหน้าตา UI ที่สีสันไม่สวยเอาซะเลย แต่ด้วยความเร็วในการ load เว็บหลายๆเว็บที่ต้องบอกว่าเร็วมากๆ ก็เลยทำให้ตอนนี้แทบจะลืม IE และ Safari ในทุกครั้งที่เล่น net ไปเลย

ทีนี้ลองมาดูสถิติการใช้ browser กันบ้าง (ข้อมูลอ้างอิงจาก w3schools.com เมื่อ August 2008)
IE7: 26.0% IE6: 24.5% IE5: 0.1% Firefox: 43.7% Safari: 2.6% Opera: 2.1%

--------------------------------------------------------------------------
โฆษณา Microsoft ตัวใหม่
อาทิตย์ที่ผ่านมา Microsoft ยิง TVC สองตัวเด็ดออกมาสู่สายตาชาวโลก โดยมีตัวแสดงนำคือ Jerry Seinfeld Stand up comedian ชื่อดังของอเมริกา และ Bill Gates .. คนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือใคร

โฆษณาทั้งสองตัวมีชื่อว่า The Future Delicious? กับ New Family ที่ใช้งบถึง 300ล้านเหรียญ สร้างความงุนงงให้กับคนดูพอสมควร หลายคนไม่เข้าใจว่า Microsoft พยายามสื่อสารอะไร เอาเป็นว่า วิธีที่ดีที่สุดคือ การไปดู TVC สองตัวนี้เอาเอง ลองดูจาก link ด้านล่างครับ
The Future Delicious? http://www.youtube.com/watch?v=afR5J7eskno
New Family: http://www.youtube.com/watch?v=gBWPf1BWtkw

--------------------------------------------------------------------------
TheFWA ออกหนังสือ "Guidelines for Online Success"

DO read this book - DON'T let it collect dust!

เมื่อ theFWA ออกหนังสือ จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไรไปไม่ได้นอกจากหนังสือเกี่ยวกับเว็บ ซึ่งเป็นการนำเอาเว็บไซต์ดีดีมารวบรวมและจัดหมวดหมู่ใหม่ รวมไปถึงการเขียนวิเคราะห์ สิ่งที่ควรและไม่ควรทำ และคำแนะนำต่างๆ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Rob Ford เจ้าของ theFWA และ Julius Wiedemann พิมพ์โดย Taschen ลองเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ http://www.taschen.com/pages/en/catalogue/design/all/05204/facts.guidelines_for_online_success.htm

--------------------------------------------------------------------------
Apple new iPod + iTunes
เมื่อวันที่ 9 กันยาที่ผ่านมา ทาง Apple ได้เปิดตัว iPod Nano ตัวใหม่ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด หน้าตาก็เหมือนกับภาพที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ โดย iPod รุ่นนี้ที่ออกมานอกจากจะมีหลากสีแล้ว ตัวเครื่องยังปรับให้กลับมาเป็นแบบยาว พร้อมหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น และระบบการใช้งานที่สามารถเลือกผ่านหน้าปกได้เหมือน iPhone ด้วย แต่ที่ว่าเจ๋งก็คือ หากต้องการจะ shuffle song ก็สามารถทำได้ด้วยการเขย่าเครื่อง iPod

นอกจาก iPod ใหม่แล้ว Apple ยังออก iTunes version 8 มาด้วย ซึ่งก็มี Visualizer ตัวใหม่ และ feature ใหม่อีก 2 อย่างคือ Genius (ระบบการเลือกเพลงให้จาก iTunes Store) และ การเลือกเพลงจากหน้าปก

จากการเปิดตัว iPod Nano คราวนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ การเลหลังขาย iPod Nano รุ่นเก่าตามร้าน Mac ที่ตอนนี้รีบเทขายกันก่อนที่ตัวใหม่จะมาถึงเมืองไทย

วันอาทิตย์ที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

CLASS / Week นี้เสียว (จะท้องเสีย) ที่สุด


หลังจากที่ได้เรียนได้สอนกันมานาน เทอมที่ 2 ก็ใกล้จะหมดอีกแล้ว วันนี้เตรียมท้องไปตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะไป review งานที่ได้ให้นศ.ไปทำในช่วง 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา นั่นคือ การเปิดโอกาสให้นศ.ได้ลองทำน้ำผลไม้ใหม่ โดยให้มีส่วนผสมระหว่างผลไม้ไทย และ ผลไม้ต่างชาติ (ที่แต่ละกลุ่มได้) ซึ่งต้องขอบอกก่อนเลยว่า ทีแรกนั้นกะว่าจะไม่กินเลย เพราะว่ากลัวท้องเสีย แต่พอเข้าไปใน class แล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องชิมซะหน่อย และผลที่ออกมาก็เป็นดังนี้

กลุ่มที่ 1,2 จับได้ Brazil เลยเอาน้ำมะม่วงหิมพานต์ที่มีถิ่นกำเนิดแถวๆอเมริกาและบราซิล มาผสมกับน้ำส้มโอของเอเชีย รสชาติออกมาแปลกๆ แถมตอน present ทีแรกมีการให้ลองชิมก่อนแล้วให้ทายว่ามีส่วนผสมของอะไรบ้าง รสชาติที่ออกมามีหวานนิดๆ ติดขมด้วยอีกหน่อย ทำให้รู้สึกใสๆ บอกไม่ถูก แอบสดชื่นนิดๆ ซึ่งสุดท้ายทางทีมที่ทำออกมาบอกว่า มีส่วนผสมของโซดาอยู่ด้วยนิดหน่อย เลยคิดว่าอาจจะเป็นเพราะตัวนี้ล่ะมั้ง
กลุ่มนี้มี idea ดีตรงการตั้งชื่อ ชื่อน้ำผลไม้นี้ตั้งชื่อมาว่า น้ำ "Cashmelo" ที่มาจากคำว่า "Cashewy" น้ำมะม่วงหิมมะพานต์ และคำว่า "Pomelo" น้ำส้มโอ

กลุ่มที่ 3,4,5 จับได้ "Afarica" ทำหน้าสัปปะรดผสมน้ำฝรั่ง มีข้อดีตรงที่สีของน้ำนั้นดูสวยใส น่ากิน ส่วนรสชาตินั้นก็อร่อย ทานง่าย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการผสมกันของน้ำ 2 อย่างที่เราเหมือนจะคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ทำให้เมื่อกินไปแล้วไม่รู้สึกแปลกลิ้นอะไร Package ของกลุ่มนี้ทำออกมาดูดีใช้ได้ comment หลักๆที่มีให้เห็นจะเป็นแค่ wording ที่เขียนอยู่บนกล่อง ที่มีขนาดเล็กเกินไปและการจัด position ยังไม่ดี

กลุ่มที่ 6,7,8 นี้ได้ประเทศอียิปต์ เลยเอาน้ำฝรั่ง ผสมกับน้ำลูกพลัม โดยทางทีมบอกว่าลูกพลัมนั้นไปซื้อกันมาแบบสดๆ แล้วเอามาปั่นรวมกับน้ำฝรั่ง ส่วนหน้าตานั้นออกมาเป็นสีออกแดงๆ หน่อย เนื่องจากได้ใช้ลูกพลัมสีดำ (ทำให้น้ำออกมาเป็นสีแดง) และมีลักษณะเป็นน้ำข้นๆ ที่ทีแรกก็เข้าใจว่าอารมณ์เหมือนน้ำ V8 ซึ่งท้ายสุดทางทีมก็บอกมาว่า อยากให้เหมือนอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน สำหรับรสชาตินั้นออกมาแบบเปรี้ยวๆ บางคนชอบ บางคนก็ไม่ชอบ แต่สำหรับผมนั้นว่า ก็อร่อยดีไปอีกแบบ ไม่เลี่ยนดี ส่วนเรื่องของ package นั้น ใช้รูปภาพ graphic ที่บ่งบอกถึงความเป็นอียิปต์ได้ชัดเจนมาก (ไม่ชัดได้งัย) อย่างไรก็ตามรูปภาพบนกำแพงนี้ ทำให้ตัวกล่องดูแข็ง ประกอบกับโทนสีน้ำตาล ซึ่งอาจจะไม่เข้ากับน้ำข้างในที่เป็นสีแดง สำหรับเรื่องที่ต้องแก้ไขก็คือเรื่องของ wording บนตัวกล่องที่น่าจะต้องมีบอกว่าข้างในเป็นน้ำอะไรบ้าง เพื่อเป็นการ communicate กับลูกค้าได้ เพราะเพียงแค่รูปภาพทางด้านล่าง (ที่ดูจะอยู่นอกจุดสนใจ)อาจจะไม่พอ และอาจจะทำให้น้ำรสชาติดีดีไม่สามารถส่งถึงลูกค้าได้ เพราะลูกค้าไม่รู้ว่า ข้างในกล่องสีน้ำตาลที่บอกว่าเป็นอียิปต์นี้ มีอะไร

กลุ่มที่ 9, 10, 11 ออกมาเป็นกลุ่มแรกเลย กล้าหาญมาก เราเลยกล้าหาญกิน (จากทีแรกกะว่าคราวนี้จะไปกินเลย กลัวท้องเสีย) กลุ่มนี้ได้ประเทศอิตาลี ซึ่งก็ได้ผลลัพท์ออกมาเป็นน้ำมังคุด ผสม น้ำลูกพรุน ดูหน้าตาไม่ค่อยหน้ากินเท่าไร่ สีเหมือนน้ำชีวภาพ ก็คงจะเป็นเพราะน้ำลูกพรุนที่มีสีดำนำมาเลย อย่างไรก็ตาม รสชาติที่ได้นั้นอร่อยกว่าที่เห็น มีรสหวาน อร่อย ทานง่าย สิ่งที่ติดใจสำหรับกลุ่มนี้นอกจากน้ำแล้วนั้น ตัว Ad ที่ทำมาให้ดูโดยนำเอาศิลปะของ Michael Angelo มาผสมเพื่อให้ได้อารมณ์อิตาลีนั้น ทำได้ดูดี และเป็นจริงได้

ผลสรุปจากการได้ทดลองทำน้ำใหม่ๆนี้ขึ้นมา ทำให้ผมนั้นตัวร้อน และรู้สึกเมาไปพักหนึ่ง ซึ่งก็งงเหมือนกันว่าเมาได้งัย ทั้งๆที่กินแต่น้ำผลไม้ (หรือว่ามีใครแอบใส่แอลกอฮอล์) อย่างไรก็ตาม การทำการบ้านคราวนี้เราพยายามฝึกให้ทุกคนได้ร่วมกันทำงาน ร่วมกันคิด หาอะไรใหม่ๆ ได้ทำการ research และรู้จักกับผลไม้แต่ละชนิด รู้จักทดลองก่อนนำเอามาใช้จริง ถึงแม้ว่าจะท้องเสียกันไปเยอะก็เถอะ สุดท้ายแล้ว โดย idea ของผมในการให้ทำการบ้านแต่ละครั้งนั้นก็เหมือนกัน คือ กว่าที่เราจะ creative ได้นั้น เราต้องหัดคิด ได้เจออะไรใหม่ๆ ได้ทดลอง แล้วเมื่อถึงเวลาที่ต้องคิดต้องทำจริงๆ เราก็พร้อม และมีความชำนาญพอควรสำหรับสินค้าหรืองานชิ้นนั้นๆ

"More input, more output"

วันพฤหัสบดีที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

Asia Rising (by rgb72)








Asia Rising บริษัทในกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ที่ได้จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อทำหน้าที่บริหารเงินของลูกค้ารายใหญ่ให้สามารถผลิดอกออกผลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งทาง rgb72 ได้เข้าไปทำงานร่วมกับลูกค้าตั้งแต่การจัดวางโครงสร้าง การออกแบบ การเรียบเรียงและจัดวาง content

ความยากของงานนี้คือข้อมูลที่มีมากมายและความต้องการที่จะให้เว็บไซต์นี้สามารถอ่านได้ง่าย สบายตา และยังคงดูดีแสดงถึงภาพลักษณ์ของ Asia Rising ที่เน้นความหรูหรามีระดับ ซึ่งความต้องการทั้งสอง (ข้อมูลที่มาก และ รูปแบบที่อ่านง่ายดูดี) นั้นอยู่ในทิศทางที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

การแก้ปัญหาในด้านการออกแบบคือการจัดรูปแบบ content ให้ดูไม่อึดอัด และพยายามวาง layout ให้ดูแปลกตาในแต่ละหน้า (โดยเฉพาะหน้าที่มีข้อมูลมากๆ) เช่นการวาง column ที่เหลื่อมกัน หรือการจัด column ที่ต่างกันไป อย่างไรก็ตามในความต่างของ layout นั้น จำเป็นต้องคง theme concept ให้คงอยู่ด้วย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ user สับสนได้ว่าตนเองนั้นหลุดมาอยู่เว็บไซต์อื่น หรือว่ายังอยู่ในเว็บไซต์เดิม

ถึงแม้ว่า logo ของ Asia Rising นั้นจะมีสี แดง ส้ม และ เหลือง แต่การใช้สีน้ำเงินในการออกแบบงานธุรกิจที่ต้องการเน้นให้ดูมั่นคงนั้น ยังคงจำเป็นอยู่มาก ซึ่งในการออกแบบนี้สีน้ำเงินสามารถทำงานได้ดี และเป็นตัวหลักในแต่ละหน้า อย่างไรก็ตาม สีส้มแดง ได้ถูกแซมเข้ามาบนมุมขวาบน เพื่อยังคงสีของบริษัท และทำให้ภาพรวมดูแล้วมีสีสันมากขึ้น ไม่จืด

ในการออกแบบได้มีการนำ font Helvetica เข้ามาช่วย โดยใส่เข้ามาเป็นรูปภาพที่ถึงแม้ว่าจะทำให้มีผลต่อการ load บ้าง แต่เมื่อแลกกับความสวยงามแล้ว การ download รูปภาพตัวอักษรไม่กี่ตัวก็น่าจะคุ้มค่ากัน โดย Helvetica นั้นสร้างความรู้สึกที่สบาย น่าอ่าน ดังนั้นในหลายๆหน้าจึงได้มีการใช้ font นี้เพื่อแสดงข้อมูลสำคัญต่างๆ ทั้งนี้หากหน้าใดที่มีข้อมูลมาก เมื่อลูกค้าเข้ามาแล้วผ่านไปเร็วๆ ก็ยังคงสามารถอ่าน text hi-light นี้ได้ทันในรูปแบบที่กระชับ ได้ใจความ

ถึงแม้ว่าเว็บนี้จะ online มานานแล้ว แต่ว่าในส่วนของ content นั้นเพิ่งจะเสร็จเรียบร้อยไปแล้วประมาณ 80% จึงได้นำมา review เป็น showcase ของ rgb72 กันในวันนี้ ซึ่งงานนี้ได้มีการออกแบบตัวต้นแบบโดยกระผมเอง และร่วมกับการออกแบบ content หน้าด้านในโดยน้องแอน ซึ่งงานนี้ต้องยก credit ให้เพราะว่าน้องแอนทำงาน design จริงๆไปกว่า 80% ถึงแม้ว่าผมเองจะทำต้นแบบก็เถอะ.. ต้องยกนิ้วให้.. น้องเค้าแน่จริงๆ :-)
* สรุปรายชื่อผู้ร่วมงาน Designer: เก่ง / HTML, Content Developer: แอน / Flash Animator: Nora / Database Programming: Bee

** สามารถเข้าไปดูเว็บไซต์จริงได้ที่ http://www.asia-rising.com

วันพุธที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

Logo (Part2)

ว่าแล้วอยากจะหยิบยกเอา logo ดีดีที่มีความหมายในตัวเองและประวัติที่น่าสนใจมา review ให้ได้อ่านกัน แต่ว่าจะเอาเยอะๆ ก็ไม่ไหว (เขียนแล้วเหนื่อย) ก็เลยคิดว่า เอาซัก 4 logos ในครั้งนี้ก่อนละกัน


เริ่มต้นด้วย Logo ที่หลายคนบนโลกนี้รู้จัก นั่นคือ logo ของ Microsoft, logo นี้ออกแบบโดย Microsoft เอง (Scott Baker) ในปี 1987 ทั้งๆที่บริษัทนี้เป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ปี 1970 แล้ว แต่ว่ารู้จักกันในนามของ Micro-Soft โดยความหมายของขีดที่อยู่ตรงกลางระหว่างตัว O กับตัว S นั่นหมายถึง ความเร็ว หรือ Speed นั่นเอง


ตามมาติดๆ ด้วย logo ของบริษัทรถยนต์ที่เป็นที่รู้จักกันดี Mitsubishi (มิตซูบิชิ) โดยตัว logo นั้นออกแบบในปี 1870 โดย Yataro Iwasaki ซึ่งตัว logo นั้นมีความหมายตามชื่อ Mitsubishi ของมัน เนื่องจากในภาษาญี่ปุ่นคำว่า "Mitsu" นั้นแปลว่า สาม ส่วนคำว่า "hishi" นั้นหมายถึง เพชร แต่พอเวลาเอามาเรียกเข้าด้วยกันแล้วเลยออกเสียงว่า "Mitsubishi" ดังนั้นตัว logo เลยออกมาเป็นรูปเพชรสามอันที่มีมุมด้านหนึ่งมาชนกันตรงกลางนั่นเอง


Logo ต่อมายังไม่ไกลจากธุรกิจรถยนต์เท่าไร่นัก นั่นคือ logo รถยนต์ Mazda, logo นี้ได้ถูกปรับในปี 1997 จาก logo ตัว 'M' ในอดีตให้มาเป็นรูปตัว 'M' ที่มีรูปทรงคล้ายตัว 'V' แบบนี้แต่ว่ามีการยืดให้กว้างขึ้น โดยความหมายนั้น ทาง Mazda ต้องการให้เป็นสัญลักษณ์รูป ปีก ที่เปิดรับพร้อมจะก้าวสู่อนาคต


Logo ที่ 4 เป็น logo ที่หลายคนคุ้นตากันดี logo ของบริษัท Unilever ที่ออกแบบในปี 2004 โดย Wolff Olins ที่ได้นำเอา logo รูปตัว 'U' ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์อันเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1970 มาใช้ สำหรับ concept ของ logo นี้ก็คือ "to add vitality to life" โดยในตัว logo รูปตัว U นี้ ประกอบไปด้วยภาพ illustration ทั้งหมด 25 ภาพที่แสดงให้เห็นถึงความเป็น Unilever ได้อย่างชัดเจน เช่น ภาพช้อน หมายถึง โภชนาการ, ภาพเสื้อ หมายถึงการซักผ้าที่สะอาด, หรือภาพผึ้งที่หมายถึงความขยันในการทำงาน




(ข้อมูลจาก http://www.unilever.co.uk/ourcompany/aboutunilever/introducing_unilever/ourlogo/ และเว็บไซต์ http://worldsbestlogos.blogspot.com/2008/01/unilever-logo.html)

วันอังคารที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

CLASS / ศิลปะและวัฒนธรรม

สัปดาห์ที่ผ่านมาได้สอนเรื่องราวเกี่ยวกับ Design and Culture หรือการออกแบบ ศิลปะและวัฒนธรรม โดยเนื้อหานั้นได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกจะเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรมที่เด่นๆ ของโซนเอเซียที่เรารู้จักกันก่อน ซึ่งชาติที่ได้จับมาคุยกันนั้นมี 4 ชาติ 4 สไตล์ดังนี้ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย และ บาหลี-อินโดนีเซีย และส่วนที่ 2 คือโซน ยุโรป อาฟาริกา อเมริกาเหนือและใต้ ซึ่งจะคุยกันในสัปดาห์หน้า
สำหรับ presentation ในสัปดาห์นี้ นศ. สามารถ download ได้จาก link นี้

วันจันทร์ที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เราใช้โทรศัพท์บ้านครั้งสุดท้ายเมื่อไร่?

วันนี้คุยกันใน rgb72 กันด้วยเรื่องของเบอร์โทรศัพท์ คุยกันว่ามีคนโทรหาเราใช้เบอร์ 02 ตอนดึก ก็เลยเดาว่าไม่น่าจะใช่โทรศัพท์ office และดูเหมือนว่าเสียงรอบข้างนั้นเงียบสงบ ก็เลยคิดว่าน่าจะใช้โทรศัพท์บ้านโทร

ก็เลยมานั่งเอะใจว่า เราใช้โทรศัพท์บ้านครั้งสุดท้ายเมื่อไร่?

ตั้งแต่มีโทรศัพท์มือถือเข้ามา ทำให้การติดต่อสื่อสารสะดวกขึ้นมากมาย การติดต่องานการโทรหาลูกค้า หรือแม้กระทั่งการขอเบอร์สาวในผับก็ต้องเป็นเบอร์มือถือ เพราะว่ามันตรงตัว โทรแล้วเจอแน่ๆ ไม่เหมือนกับเบอร์บ้านแต่ก่อนที่โทรทีไรก็ไม่เจอ หรือแม่รับก็ต้องขอสายเพื่อน ซึ่งบางครั้งก็เผลอเรียกชื่อพ่อมันออกไป -_-"

จำได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีมือถือ เวลานัดเจอเพื่อนก็ต้องมีจุดนัดพบแบบเฉพาะเจาะจง เช่นใต้สะพานลอย หรือป้ายรถเมล์หน้าห้างฯ หากใครคนใดมาช้า สิ่งที่เราทำได้มากสุดก็คือโทรไปตามที่บ้าน ซึ่งโดยมากก็มักจะไม่เจอ (แน่นอน ถ้า late แล้วเราโทรไปมันยังอยู่บ้านคงโดนยำเละ) แต่ว่าก็ยังได้ยินเสียงคนที่รับสายบอกสถานะของเพื่อนที่กำลังมาให้ได้อุ่นใจว่า "ออกไปนานแล้วนะ ประมาณชั่วโมงหนึ่งได้แล้ว"

พอต่อมามี pager ก็ทำให้หลายอย่างง่ายขึ้น แต่ก็ยังไม่สู้มือถือ

ปัจจุบันมือถือมีกันทุกคน บางคนมีมากกว่า 1 เครื่อง หลายคนมีมากกว่า 1 เบอร์ มีมากจนทำให้เรานั้นไม่จำเป็นต้องใช้เบอร์บ้านอีกต่อไป หรือถ้าจะใช้ก็เป็นกรณีที่ไม่อยากจะจ่ายค่ามือถือ ใช้เบอร์ office หรือใช้เบอร์บ้านให้แม่จ่ายให้

ถึงตอนนี้แล้วคิดออกรึยังว่าใช้โทรศัพท์บ้านครั้งสุดท้ายเมื่อไร่??

สำหรับผมนั้นคิดว่าน่าจะเป็นปีนะครับ แต่จำไม่ได้ซะแล้วสิ

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

Toyota Camry (by rgb72)







เสร็จเรียบร้อยไปอีกงานหนึ่ง สำหรับ Toyota Camry ซึ่งตัวนี้เป็น Microsite ที่เน้นการให้ข้อมูลเฉพาะรุ่นของ Toyota Camry เท่านั้น สำหรับงานนี้ลงมือตั้งแต่ออกแบบ design และ flash interactive โดยคุณ Nora นั่นเอง โดยตัว concept ของงานนั้น ลูกค้าต้องการให้การออกแบบ และ movement ต่างๆ สะท้อน character หรือตัวตนที่แท้จริงของความเป็น Camry ซึ่งนั่นคือความเรียบหรู มีระดับ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเว็บไซต์เองต้องไม่น่าเบื่อ ดังนั้น animation นั้นต้องมีให้พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

การแสดงภาพแบบเต็มขนาด window นั้นจะช่วยให้ภาพลักษณ์และรูปแบบของเว็บไซต์ออกมาดูดีมาก แต่อย่างไรก็ตาม limit ในเรื่องของระยะเวลาในการ download ไฟล์นั้นเป็นสำคัญ เนื่องจาก target ของคนที่จะเข้ามาดูเว็บไซต์นี้มี range ที่กว้างมาก เป็นไปได้ตั้งแต่คนทำงาน office คนเล่น computer ที่บ้าน และนักธุรกิจระดับสูง ดังนั้นตัวเว็บจำเป็นต้อง load เร็ว ใช้ง่าย และสะท้อนภาพลักษณ์ของ Camry ออกมาได้ ซึ่งตรงนี้คิดว่าทางคุณนอร่าน่าจะทำงานออกมาได้ดีพอสมควร เพราะดูจาก feedback ลูกค้าแล้ว comment ที่ให้แก้มีเพียงน้อยนิดเท่านั้น

หากจะดูเว็บไซต์นี้แบบ live สามารถดูได้จาก section "Interactive Brochure" ของเว็บ e-toyotaclub.com หรือเข้าไปกดที่ link Toyota Camry จากหน้า Works ของ rgb72 เพราะเนื่องจากเว็บไซต์นี้เป็น pop up หากกด link ตรงไปยังเว็บเลยจะทำให้ flash แสดงผลไม่ตรงกับ window จะทำให้ดูแล้วไม่สวยครับ

OXFORD Website Reviews (www.ox.ac.uk)

วิเคราะห์เว็บไซต์ของ มหาวิทยาลัย Oxford (University of OXFORD)www.ox.ac.uk



เมื่อประมาณเดือนที่แล้วหลังจากที่ได้เข้าไปรับ brief งานมาจากทาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้รู้จักกับเว็บไซต์นี้ เว็บไซต์ออย่างเป็นทางการ เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย Oxford (www.ox.ac.uk) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในโลก และเผอิญว่าเว็บไซต์ของ Oxford นี้ใช้พื้นฐานของความเรียบง่ายในการใช้งาน (แต่ไม่เรียบง่ายในการ develop) การเน้นที่ user แต่สำคัญแต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งความสวยงามใดๆ เลยเห็นว่า เว็บนี้เหมาะที่จะเป็นเว็บที่จะมา review กัน

ตัวเว็บไซต์นั้นใช้ความเรียบง่ายแต่สวยงาม สะอาดตา มาเป็น key หลักในการออกแบบ โดยนำมาซึ่งความง่ายในการค้นหาและอ่านข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ในเว็บไซต์ จากหน้าแรก เว็บไซต์นี้ได้ใช้สีน้ำเงินเข้มเป็นสีพื้นในการออกแบบ ซึ่งสีน้ำเงินนั้นช่วยให้ดูมีความน่าเชื่อถือ มั่นคง และการทำเว็บไซต์ที่มีตัว content หรือตัวอักษรสีขาวบนพื้นสีน้ำเงินนั้น ทำให้เว็บไซต์ดูดี ทันสมัย และโดดเด่นมาก

เริ่มจากด้านบนซ้ายของเว็บไซต์ มี Logo ของ Oxford ตั้งเด่นอยู่ ทำให้ user นั้นสามารถรู้ได้ชัดเจนทันทีว่า ขณะนี้ได้เข้ามาอยู่ในเว็บไซต์ของ University of Oxford แล้ว และเนื่องจาก logo มีสีเดียว ดังนั้นจึงได้ทำตัว logo อยู่ใน gif format

ถัดมาเป็น link ต่างๆ และ Search box ที่โดดเด่น สามารถให้ user ค้นหาข้อมูลที่เขาต้องการได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมี Quick Links ที่ user สามารถเลือกเข้าชมหน้าต่างๆในเว็บได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาผ่านหน้าหลักจากเมนูหลักทางด้านล่าง สังเกตได้ว่า เว็บไซต์นี้เป็นเว็บที่เน้นเรื่องการใช้งานของ user เป็นที่สุด ตั้งแต่การใช้รูปภาพที่น้อย และใช้ตัวอักษรมากกว่า เพื่อเน้นการ load เร็ว การมี search box และ quick links ช่วยอำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความน่าชื่นชมในการจัดทำเว็บไซต์ของ Oxford

ถัดมาเป็น main area สำหรับ promote ข่าวต่างๆ และรูปภาพที่เป็น key visual โดยทั้งหมดนี้ไม่มี flash เข้ามาใช้งานเลย แต่กลับเป็นแค่ javascript ที่นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างน่าสนใจ ตั้งแต่ animation และ technique ต่างๆ ซึ่งนั่นหมายถึงเมนูหลักทางด้านล่าง และรูปภาพหลักที่จะได้กล่าวถึงต่อไป

ดูเผินๆ ก็เหมือนว่า javascript ที่มาใช้ตรงนี้นั้นก็แค่ช่วยเมนูหลักทางด้านล่างในการเปลี่ยนรูปหลังจากกดเลือกแล้วเท่านั้น แต่จริงแล้ว มีจุดที่น่าสนใจมากอยู่จุดหนึ่งที่ javascript ได้มีการนำมาใช้เพื่อประโยชน์ในการ support user นั่นคือความสามารถในการ Mask รูป เพื่อ support จอขนาด 800x600 และ 1024x768 ได้อย่างลงตัวในเว็บเดียวกัน

ลองดูรูปแรก (รูป default) รูปอาคารที่มีต้นไม้อยู่ทางด้านขวามือ หากขยายหน้าจอให้กว้างเกินกว่า 1024 (ถ้าจอคุณกว้างได้มากกว่านั้น) จะพบว่า รูปจะสุดอยู่แค่นั้น ไม่ได้ขยายไปไหน นั่นคือรูป default นั้นมีความกว้างอยู่ที่การ support จอขนาด 1024pixels นั่นเอง แต่หากเราลองย่อขนาดจอให้เล็กลง จะพบว่ารูปต้นไม้บางส่วนหายไป ถูกตัดไป จนกระทั่งสุดอยู่ที่จอขนาดประมาณ 800x600


ขยายเกิน 1024


ขนาด 800x600

บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่น่าตื่นเต้นอะไรนัก แต่จากที่ได้สังเกตมา ผมเองยังไม่เคยเห็นเว็บไซต์ใด (โดยเฉพาะเว็บในไทย) นำเทคนิคนี้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างดีขนาดนี้

ก่อนหน้านี้เคยเห็นเว็บที่พยายาม support จอ 800 และจอ 1024 ในเว็บเดียวกันนั่นคือเว็บไซต์ของ UBS (www.ubs.com) ซึ่งหากใช้จอ 800 หรือ 1024 เว็บของ ubs นี้ก็จะสามารถให้ user ได้เห็นภาพและ layout ที่เหมือนกันได้ทั้งคู่ แต่ต่างตรงที่ว่า เว็บไซต์ของ ubs นั้นจะต้องทำการ refresh เมื่อมีการปรับหน้าจอ ซึ่งตัวเว็บจะทำการ detect ว่าเราใช้ windows ที่ size ไหน แล้วก็เลือกหน้าที่ออกแบบมาสำหรับ size นั้นให้ ซึ่งผลเสียคือความช้าในการเรียก load อีกครั้ง (อย่างไรก็ตาม ใครจะมานั่งเปลี่ยน size window กันบ่อยๆล่ะ)

กลับมาต่อที่ Oxford เมนูนั้นใช้ Style Sheet มาช่วยทำ hi-light menu ทำให้ประหยัดการใช้รูปไปได้ค่อนข้างมาก และก็ไม่ได้ทำให้เว็บดูไม่สวยแต่อย่างใด

ด้านล่างมองเผินๆ เหมือนเป็น sitemap ซึ่งแสดงหน้าทั้งหมดที่มีอยู่ในเว็บไซต์ ถามว่าดูน่าเกลียดไหม โดยส่วนตัวกลับคิดว่าเราต้องดูที่จุดประสงค์ของคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ เมื่อ user ที่เข้ามารู้อยู่แล้วว่าตัวเองเข้ามาเพื่อค้นหาข้อมูล การที่เรามีข้อมูลให้เค้าได้อย่างรวดเร็ว และเข้าถึงง่าย นั่นน่าจะบรรลุจุดประสงค์ของ user และจุดประสงค์ของเราคือการนำเสนอข้อมูล ซึ่งในกรณีนี้ รูปภาพที่สวยงาม animation นั้นเป็นแค่ส่วนประกอบ

ด้านใน การ design นั้นได้มีการปรับให้พื้นสีน้ำเงินมีเฉพาะด้านบน ในส่วนของ content นั้นเป็นพื้นสีขาว ทั้งนี้เพื่อความสบายตาของ user ในการอ่านข้อมูล อย่างไรก็ตาม ในเชิงของการพัฒนา develop ยังคงใช้ text based และ javascript เป็นหลัก ซึ่งจะเห็นได้จาก sub menu ทางด้านบน ส่วนความสามารถในการ support จอ 800 นั้นยังคงมีอยู่ ซึ่งก็ยังดูได้จากรูปที่มีอยู่ในเว็บด้านในนั้น สามารถยืดจะหดได้โดยใช้ feature mask

อีกหนึ่ง feature ที่คาดว่าน่าจะได้เห็นจากเว็บนี้ แล้วก็ได้เห็นจริงๆนั่นคือความสามารถในการ print ให้ได้พอดีกระดาษ A4 โดยปกติแล้ว หากเราทำเว็บแล้วไม่ได้ support การ print ให้พอดีกระดาษ A4 นั้น ก็จะทำให้เว็บที่ print ออกมาจะกว้างเกินกระดาษ ซึ่งวิธีแก้ก็ต้องไปแก้ที่ user โดยการปรับให้ print เป็นแนวนอน ซึ่งวิธีนี้นั้นดุไม่ pro เอาซะเลย

วิธีที่เว็บ Oxford นี้ใช้นั่นคือการคัดเอาเฉพาะส่วนที่เป็น content หรือเนื้อหาสำหรับเว็บนี้เท่านั้นมาใช้ในการพิมพ์ ลอง test ดูได้จากการกด print preview จะเห็นว่า ได้มีการกำหนดเฉพาะส่วนของ content ให้แสดงบนกระดาษ A4 นอกจากจะคัดเฉพาะ content แล้ว ความกว้างของเนื้อหาก็ยังไม่กว้างเกินกระดาษ A4 ด้วย ดังนั้น เมื่อ user print เว็บนี้ไป ก็จะได้แต่เนื้อหา (ไม่มีพวก banner หรือเมนู) และได้ขนาดที่พอดี ไม่ต้องมาปรับกระดาษให้เป็นแนวนอน ซึ่งถือว่าเป็นการ support user ได้อย่างละเอียดลึก อย่างไรก็ตามในบางหน้าของเว็บ Oxford ยังมีหลุดๆบ้าง คือพอสั่ง print แล้วมีตัวอักษรบางกลุ่มไม่อยู่ใน column หรือหลุดเรื่องขนาดและรูปแบบของ font


หน้า Research ก่อนพิมพ์


หน้า Print Preview

** การทำ print version แบบนี้นั้นทาง rgb72 ก็เคยทำแล้วกับงานเมื่อสองปีที่แล้วคืองาน INGFunds (www.ingfunds.co.th) ซึ่งเหมือนเป็นการปิดทองหลังพระลูกค้าเองก็แทบจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้เป็น extra ส่วนตัวคนที่เข้ามาเล่นแล้ว print นั้นก็ไม่รู้หรอกว่า การ print แล้วได้พอดีนั้นเป็นการใช้เทคนิคพิเศษ **

ทั้งหมดที่ได้ review ไปนั้น เป็นการ review จุดเด่น จุดที่ทำให้เว็บ Oxford นั้นแตกต่าง กล่าวคือ เว็บไซต์ของ Oxford นั้น สามารถนำเสนอเว็บไซต์เพื่อ support User ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ข้อมูล รูปภาพ ความรวดเร็วในการ load ความสามารถในการ support จอสองขนาด และการสั่ง print บนกระดาษ A4 โดยทั้งหมดนี้สามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดี โดยยังไม่ทิ้งในเรื่องของความสวยงาม การออกแบบ และ design

ความเนียบในการทำงาน การ develop และการออกแบบ ก็สามารถเห็นได้ชัดโดยไม่ต้องมานั่งสังเกต :-)

วันอังคารที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ewit meeting & Design+Culture

เมื่อศุกร์ที่ผ่านมา ศุกร์ที่มีพิธีเปิดโอลิมปิกนั่นแหละ ผมมีนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆสมัยทำงานอยู่ ewit เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว โดยมีผู้ร่วมวงมากมายดังนี้ (ชื่อ / ที่ทำงานปัจจุบัน) พี่เอก / ewit, พี่วิชญ์, เหน่ง / Ogilvy, นัท / be our friend, ชล / Ogilvy, พี่โอ๋ / redlab, รัช / ACE, Guess / Ogilvy, แว่น / ewit, โจ้ / รอยเตอร์

เรื่องราวที่คุยกันในช่วงแรกก็มีแต่เรื่องเผากัน เม้ากันถึงเรื่องในอดีต เรื่องเก่า สมัยยังทำงานด้วยกันอยู่ ซึ่งมีแต่ความสนุกสนาน บ้าบอ และหาไม่ค่อยจะได้ในสมัยนี้ แต่ว่าเรื่องราวที่ได้มาคุยกันในตอนท้ายนี่สิ ไม่รู้ว่าคุยกันยังงัย คุยไปคุยมามาจบกันที่เรื่องของ design ในประเทศไทย

เรื่องมันเริ่มอยู่ที่ว่า พี่โอ๋ ถามผมถึงเรื่องของการไป pitch งานว่ามีปัญหาอะไรมั้ย ยากมั้ย ผมก็ตอบว่าไม่่ค่อยจะมีปัญหานะ ของผมเน้นไปในทาง design ส่วนพี่โอ๋บอกว่า จริงๆถ้าเราเน้นเรื่อง function ทำให้เว็บเราสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้มากๆ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์และตอบโจทย์ทางการตลาดได้ นั่นน่าจะเป็นวิธีที่ทำให้งานมันขายได้ง่ายขึ้น และลูกค้าเป็นภาพที่ัชัดและง่ายกว่าการขาย design อย่างเดียว

พี่วิชญ์เข้ามาพูดเปิดประเด็นต่อว่า ถ้าคิดจะ design ในเมืองไทยน่ะ ยาก เมืองไทยน่ะขาย design ลำบาก เมื่อมาลงรายละเอียดจริงๆในตัวเนื้องานจะเห็นว่า design น่ะ แทบจะไม่ได้ราคาอะไรเลย

ไอ้นัทเห็นด้วย

แต่ผมเห็นด้วยไม่ 100% เลยคุยต่อว่า จริงๆแล้วงานที่ rgb72 ทำ จะเป็นเว็บที่เน้น design และแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของบริษัท องค์กร หรือ product นั้นๆ ดังนั้นจริงๆแล้วทุกวันนี้เราก็ขาย design อยู่ ส่วนตัว programming นั้นเราก็เอาไว้ support เฉยๆ บริษัทที่เห็นค่าของการออกแบบนั้นมักจะเป็นบริษัทที่ต้องการเน้นการสร้างภาพลักษณ์์องค์กร บริษัทสมัยใหม่ ดังนั้นนี่คือ target ลูกค้าส่วนใหญ่ของ rgb72

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เจอปัญหา ปัญหาที่เจอบ่อยๆ และน่าเบื่อก็คือ การที่เราได้ทำการออกแบบไปแล้ว ได้รับการ approve จากทีมงานในฝั่งของลูกค้าแล้ว (ซึ่งมีจำนวน 5-10คน) แต่เมื่อลูกค้าเอางานไปให้นายใหญ่ดู นายใหญ่ไม่ OK ซะงั้น แล้วก็กลายเป็นว่า ทุกอย่างที่ได้คุยกันมา ปรับกันมาตลอด 2 อาทิตย์ต้องเริ่มใหม่หมดตั้งแต่ศูนย์ ซึ่งจริงๆแล้ว ถ้านายใหญ่มีอำนาจมากขนาดเสียงทั้งหมดที่เคย vote กันมาว่าดีแล้ว ถูก reject ได้นั้น นายใหญ่เองก็น่าจะมาร่วมประชุมซะตั้งแต่ทีแรก (แล้วเราก็เริ่มยกตัวอย่างลูกค้าใหญ่ๆ หลายรายที่เพิ่งจะประสบมาไม
"ลูกค้าพวกนั้นกูก็เคยเจอ" พี่วิชญ์บอก (และไอ้นัทก็ด้วย)

บริษัทหลายที่ที่เราเห็นใหญ่ๆ แต่จริงๆแล้วก็ทำงานกันแบบนี้ พี่วิชญ์พูดว่า "สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของ connection"

Connection ความสัมพันธ์และความเชื่อถือนั่นแหละที่เป็น bottom line ไม่ใช่ design หลายงานที่ลูกค้า "เชื่อ" ในตัวเรา เพียงแค่เราไป present งานก็สามารถขายได้อย่างรวดเร็ว แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าลูกค้าไม่เชื่อในตัวเรา งาน design ที่ว่าดีนักหนา ถูกหลัก usability มากมายก็ยากที่จะผ่าน

อย่างงานหนึ่งที่ทางผมเพิ่งจะเจอมา เจ้านายใหญ่เชื่อในฝีมือของชาวต่างชาติมากกว่า ดังนั้นไม่ว่าเราจะพูดอะไรไป ก็ยากที่จะเข้าหู (ทั้งๆที่ผมเองเคยทำงาน freelance ให้กับต่างประเทศ โดยงานที่ได้รับมานั้นก็คืองานเว็บของบริษัทใหญ่ในประเทศไทยนั่นเอง เพียงแต่ว่าบริษัไทยบริษัทนี้ไม่รู้ว่างานที่เค้าส่งออกให้ต่างประเทศนั้น แท้จริงคนที่ทำงานทั้งหมด นั่งอยู่ในห้องที่อยู่ไกลไม่เกิน 5กม.)

เลยทำให้กลับมาคิดต่อว่า หรือการที่ทีมงานเข้าไป present งานให้นายใหญ่นั้น ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือพอ เรียกง่ายๆว่า นายใหญ่ไม่เชื่อมั่นในทีมงานของตัวเอง คิดไปถึง project หนึ่งที่ลูกทีมของบริษัทลูกค้าเองเข้าไป present เท่าไร่ก็ไม่ผ่าน กลับมามีแก้มากมาย แต่พอเราเข้าไปในฐานะ designer ไปอธิบายให้เค้าฟัง เค้าก็เชื่อและให้ผ่านง่ายดายซะอย่างนั้น

หรือสรุปแล้ว design ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับเมืองไทย และยังเป็นสิ่งที่ขายไม่ได้ แต่ว่า connection ต่างหาก ที่ใช่

ผมเองก็ยังสรุปอะไรมากไม่ได้ แต่เห็นว่าเรื่องที่คุยกันนี้น่าสนุกดี น่าเอามาแชร์ให้หลายๆคนได้คิดดู

แล้วไม่รู้ว่าคุยกันยังงัยต่อ แต่เราก็ได้พูดถึงว่า ช่วงนี้เราได้อ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ดีมาก ชื่อ Design + Culture โดยคุณประชา สุวีรานนท์ ซึ่งได้เจองานของพี่วิชญ์อยู่ในนั้นด้วย

พี่วิชญ์ พี่เอก ไอ้นัท ไอ้เหน่ง รู้จักคุณประชากันหมด แล้วก็เคยได้อ่านหนังสือเล่านี้กันแล้ว

เลยแวะเอามาบอกเป็นของแถมว่า Design + Culture เป็นหนังสือที่น่าอ่านมากๆ รวบรวมเรื่องราวของการออกแบบ แนวคิด และเบื้องหลังต่างๆที่น่าสนใจ โดยคนที่ใครก็บอกว่าเค้าเป็นคนที่สุดยอด ขนาดพี่เอกยังบอกว่า

"คนอะไรก็ไม่รู้ เก่งชะมัด"

วันพฤหัสบดีที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

iTunes U

อีกครั้งกับสิ่งใหม่ๆ ดีๆที่เกิดขึ้นจากบริษัท Apple

itunes U

เป็นอีกหนึ่งบริการจาก itunes store ที่ทำรายได้ในการขายเพลงและหนังให้กับ Apple เป็นล้านๆ เหรียญ แต่ itunes U นี้คือการให้บริการ download video และ ไฟล์เสียง การสอนของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆในอเมริกาให้เราได้ชมกันแบบ ฟรีๆ

ฟรีจริง.. ผมลองแล้ว

ทั้ง Yale, Standford หรือแม้กระทั่ง MIT รวมไปถึงมหาลัย Artๆ อย่าง SVA ด้วย

ลองดู.. เป็นอีกหนึ่งเมนูใน Apple itunes store

วันอังคารที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ฝุ่นในปักกิ่ง (Beijing Olympic Polution)



เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากๆสำหรับผมตอนนี้คือ เรื่องกลุ่มควัน ฝุ่น และหมอกในปักกิ่ง สถานที่ที่จะมีการจัดงาน Olympic ในเดือนสิงหาคมนี้แล้ว

เนื่องจากการที่ทางจีนต้องการให้ Olympic คราวนี้ยิ่งใหญ่ไม่เหมือนใคร ซึ่งได้มีการระดมกำลังแรง และกำลังเงิน ในการสร้างสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สนามกีฬารังนกที่รู้จักกันดี หรือจะเป็นสนามกีฬาทางน้ำที่มีรูปร่างคล้ายฟองน้ำ (ดูรูปได้จากที่นี่) รวมไปถึงสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อย่างเช่น ตึก CCTV หรือ plaza ที่มีจอ LCD อย่างใหญ่เป็นเพดานหลังคา

ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเร่งสร้างสถาปัตยกรรมเหล่านี้ก็คือ ฝุ่นควัน ที่ลอยอยู่ในอากาศทำให้กรุงปักกิ่งตอนนี้ มีแต่ควันพิษที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

ก่อนหน้านี้ได้ข่าวมาว่า ทางการจีนจะประกาศให้ยุติการก่อสร้างประมาณ 30 วันก่อนหน้างานเปิด แต่ว่าทำไม่ได้เพราะว่าการก่อสร้างยังไม่เสร็จสิ้น ขนาดว่าเร่งมากจนมีคนงานก่อสร้างเสียชีวิตจากการสร้างสนามกีฬารังนกไปแล้ว 7 คน ซึ่งข่าวออกมาล่าสุดคือจะให้ทำการยุติการก่อสร้างลดเหลือ 10 วันล่วงหน้า

วิธีการกำจัดฝุ่นของจีนที่ประกาศออกมาแล้วน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ ทางจีนจะทำฝนเทียมประมาณ 3-5 วันก่อนหน้างาน เพื่อชะล้างฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศ เอาเข้านั่น

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ หลังจากที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 กค.ที่ผ่านมา ทางจีนได้เปิดตัวที่พักนักกีฬา เพื่อให้นักกีฬาได้เข้ามา warm up กันก่อนงานจริง ฝึกซ้อมเพื่อให้ชินกับบรรยากาศ แต่กลับกลายเป็นว่า มีนักกีฬาหลายกลุ่มที่ปฎิเสธ ไม่กล้าฝึกซ้อม เพราะว่ากลัวฝุ่น โดยเฉพาะนักกีฬาที่ต้องฝึกกลางแจ้งและต้องสูดอากาศเข้าไปเยอะๆอย่าง กรีฑา

ตอนนี้ทางทีมนักกีฬานอกจากจะต้องเตรียมตัวเรื่องการแข่งแล้ว ยังต้องให้ทีมแพทย์เตรียมยาทางเดินหายใจไว้ให้ด้วย

ซึ่งทางการจีนก็ได้ออกมาประกาศว่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฝนเทียมมา ทุกอย่างก็จะดีเอง

ตอนนี้ก็ต้องคอยลุ้นดู ว่าฝนเทียมที่ลงมา จะทำให้ฝุ่นละอองหายไปยังกับปาฎิหารย์ได้รึเปล่า

วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ตอบคำถามนักศึกษา

เจอคำถามจากน.ศ. ถามมาใน blog ดังนี้

"ตั้งแต่เรียนมามีข้อสงสัยว่า ที่อาจารย์ให้ทำงานส่งทุกอาทิตย์ช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์อย่างงัย อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบาย เพื่อเป็นการรวบรวมความคิดของผู้เรียนว่าเข้าใจตรงกันหรือไม่"

ผมขอตอบประเด็นนี้สั้นๆ ง่ายๆ ด้วยคำถามนะครับ

ความคิดสร้างสรรค์ที่ว่านั้น คืออะไร และมีที่มาอย่างไรครับ

เอาง่ายๆ แค่นี้ก่อน ลองตอบดูครับ ตอบได้แล้วผมจะกลับมาอธิบายให้ฟังต่อ

วันอังคารที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ข่าว Apple apple

เพิ่งไปอ่านข่าวมา จึงได้รู้ว่า ยอดการขาย iPhone ตัวใหม่ที่เพิ่งออกเมื่อวันที่ 11 ที่ผ่านมานั้น ตอนนี้ยอดได้แตะ 1ล้านเครื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากที่รุ่นก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาถึง 74 วัน ไม่เพียงเท่านี้ ตัว iPhone Native App ที่อนุญาติให้ user download และซื้อผ่าน App Store ทาง itunes นั้น เพิ่งผ่านมาได้แค่ไม่กี่วัน บัดนี้ได้มีการ download ไปแล้วถึง 10ล้าน download !!!

HOT จริงๆ บริษัทนี้..

ว่าแล้ว ผมก็ตามกระแส (จริงๆก็อยากใช้มานาน) นั่นก็คือ mobile me ก็เลยได้ไป register และใส่ข้อมูลลงทะเบียนเพื่อขอใช้ mobile me แบบ trial ซึ่งก็ต้องเจอ surprise 2 อย่าง อย่างแรกคือเมื่อตอน register พอรู้ว่าเรามาจากประเทศไทย ตรงส่วนที่เป็น state/province นั้น ก็มีตัวเลือกของประเทศไทยให้ด้วย! surprise สุดๆ เพราะไม่คิดว่า apple จะใส่ใจ



Surprise อย่างที่ 2 ก็คือ ถ้าจะใช้ mobile me ได้นั้น iPhone จะต้องไป upgrade เป็น 2.0 ก่อน ซึ่งตรงนี้ได้ข่าวมาว่าเมื่อ update แล้วต้องไปทำการ hack หรืออะไรมากมายอีก.. ดังนั้นว่าแล้วเดี๋ยวขอไปแวะดู pdamobiz update ข่าว iphone หน่อยละกัน

CLASS / Week 5 : Online Advertising

เริ่มต้นด้วยการ present ข่าวที่ใหม่ล่าสุดๆๆๆ จากน.ศ.แต่ละกลุ่ม โดยการ present เป็นไปด้วยเรื่องราวแปลกใหม่รอบตัว เช่น ตึกบิดได้ในดูไบ, ความหมายของโลโก้ NBT ที่เราไม่เคยรู้, TV ที่สามารถดูได้ 2 ทาง, มือถือจาก Nokia ตัวใหม่, เรื่องเทคนิคสุดๆ ก็เห็นจะเป็นเรื่อง memory แบบที่เป็นแผ่นการ์ดพลาสติกใน macbook air กินไฟเยอะกว่า Hard disk ที่เป็นลูกๆ หรือแม้กระทั่ง music video ใหม่ของ ปาน ธนพร ซึ่งทั้งหมดนี้คิดว่าก็ดีเหมือนกันที่ได้มีการมา update ความรู้ใหม่ๆ กันทั้ง class

อาทิตย์นี้เป็นการสอนเรื่องของ Online Marketing ซึ่งปกติแล้วเป็นหัวข้อที่ใหญ่มาก สามารถแยกย่อยออกมาได้เยอะ สามารถพูดกันได้โดยละเอียดหลายวันทีเดียว อย่างไรก็ตาม วันนี้ก็เป็นฉบับย่อ เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้น ทำให้ได้รู้จัก Online Advertising อย่างคร่าวๆ ก่อน

Online Advertising มีหลากหลายประเภท โดยได้หยิบยกประเภทต่างๆ ดังนี้

Banner : ซึ่งก็จะมีหลากหลายขนาด และรูปแบบ ทั้งนี้รวมไปถึงพวก floating banner ad ด้วย

Advertorial : คือการนำเอาผลิตภัณฑ์เข้าไปแจมอยู่ในบทความต่างๆ ที่เผยแพร่เพื่อเป็นความรู้ในเว็บไซต์

Website / Microsite : เพื่อให้การนำเสนอข้อมูลเป็นไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การจัดทำ micro site เพื่อให้บริการข้อมูลเชิงลึก หรือบางครั้งอาจจัดทำเป็นเกม interactive ที่น่าสนใจ ช่วยเพิ่มความน่าจดจำให้กับตัวสินค้าได้มากขึ้น

Media - Wallpaper, Screensaver : เมื่อไร่ก็ตามที่ computer ของคนใน office หยุดทำงาน ก็จะมีโฆษณาของสินค้าเราขึ้นบนหน้าจอ นั่นก็น่าจะดีมิใช่หรอ

Smart Ad : คือการแสดง Banner Ad ตาม profile ความชอบของลูกค้า

E-mail Marketing : เป็นการส่ง promotion และข้อมูล update ต่างๆ ไปให้กับลูกค้าผ่านทางอีเมล์ วิธีนี้ต้องระวังให้ดี เพราะอาจจะทำให้เป็นภาพลบได้ ถ้าเมล์ที่เราส่งไปมีมากเกินไป และส่งให้กับลูกค้ามั่ว คือลูกค้าอาจจะไม่อยากได้ จะทำให้เป็น junk mail ซึ่งส่งผลให้ brand เสียภาพลักษณ์

Social Network ต่างๆ เช่น Twitter และ Hi5 ซึ่งปัจจุบันจะฮิตกันมาก โดยเฉพาะการทำ Glitter เพื่อโปรโมทสินค้าของตัวเอง โดยให้ผู้ที่เล่น hi5 นั้นสามารถนำไปใช้ได้ฟรีๆ หรือการสร้าง group สำหรับสินค้าของเรา เช่น group Starbucks หรือ group Apple

Artist สำหรับอาทิตย์นี้ที่ได้แนะนำให้ น.ศ.รู้จักคือ Yugo Nakamura (www.yugop.com) ส่วนนักดนตรีที่แนะนำคือ Diana Krall ซึ่งเป็นนักร้องเพลง Jazz และนอกจากนี้ยังได้แนะนำให้ น.ศ.รู้จัก Saxophone อีกด้วย

***** ก่อนจบ Class ได้มีการบอกเรื่องที่จะสอบ mid-term ไปแล้วนะครับ น.ศ.คนไหนที่ไม่ได้เข้าเรียน ไปตามกับเพื่อนๆให้ดีนะครับ *****

**** สำหรับชื่อ มหาวิทยาลัยที่ผมสะกดผิด ต้องขออภัยด้วยครับ งั้นขอสะกดใหม่ตรงนี้ครับ "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี" *****

CLASS / Week 4 : Other type of Advertising

อาทิตย์นี้เปิดตัวด้วยการให้น.ศ. มา present assignment ที่ให้ไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คือการไปศึกษาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม 2 ยี่ห้อ นั่นคือน้ำดื่ม Sparkling Water ยี่ห้อ เปอริเอ่ และอีกตัวคือน้ำผลไม้ยี่ห้อ AC Fresh โดยจุดที่น่าสนใจของ product ทั้งสองตัวนี้คือ น้ำดื่ม เปอริเอ่ เป็นน้ำดื่มประเภทน้ำแร่จากธรรมชาติ ซึ่งมีความซ่ามาจากธรรมชาติด้วย ซึ่งหากกินโดยเผินๆ ก็จะคิดว่า น้ำดื่มนี้เป็นน้ำโซดาธรรมดา อย่างไรก็ตาม เปอริเอ่ ก็เป็นอีกหนึ่งประเภทของน้ำดื่มที่อยากจะแนะนำให้น.ศ.รู้จัก อีกตัวคือ AC Fresh ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ เหตุที่นำยี่ห้อนี้มาให้เล่นกันก็เพราะว่า น้ำผลไม้ยี่ห้อนี้มีการออกแบบ package ที่สวยงามมาก สวยจนทีแรกคิดว่าเป็นของต่างชาติ แต่พอมาดูที่ฉลาก ก็พบว่าเจ้าของเป็นคนไทยดีดีนี่เอง โดยน้ำผลไม้ยี่ห้อนี้มีจุดเด่นมากในเรื่องของการสร้างความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็น packaging หรือแม้กระทั่งตัวน้ำผลไม้เอง ซึ่งนำผลไม้แปลกๆ หายาก หรือไม่ค่อยได้มีคนทำมาทำ เช่น น้ำกีวีสีทอง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม น.ศ.กลุ่มที่ได้น้ำ AC Fresh ไปทำก็อาจจะได้งานง่ายกว่า เปอริเอ่ หน่อย ดังนั้น จึงได้มีการกำหนดให้ น.ศ. กลุ่มที่ได้ AC Fresh นั้นไปหาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำตัวใหม่อีกชนิด ที่เห็นว่าเพิ่งจะมา นั่นคือ น้ำเปล่าประเภท "น้ำโมเลกุลเล็ก" ซึ่งผลที่ได้คือ น.ศ.สามารถไปหาข้อมูลมาได้และอธิบายได้อย่างดีน่าพอใจ อย่างไรก็ตาม การหาซื้อน้ำดื่มประเภทนี้ยังคงยากอยู่ แทบจะหาไม่เจอ ผมเองไปเจออยู่ที่เดียวคือ Villa Market ที่ J-Avenue ซอยทองหล่อ เป็นน้ำดื่มโมเลกุลเล็กยี่ห้อ Pi (อ่านว่า ไพน์)

การสอนของ week นี้มีหัวข้อว่า การโฆษณาในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งเราได้ยกตัวอย่างของการโฆษณาโดยใช้ "กลิ่น" ยกตัวอย่างเช่น ร้านโรตีบอย และ ร้าน Starbucks ซึ่งมักจะส่งกลิ่นอาหาร หอม ชวนรับประทานให้ได้กลิ่นกันทั่วห้างฯ ทั่วบริเวณ การโฆษณาโดยใช้กลิ่นนั้น ดีมากตรงที่ว่า กลิ่นนั้นมีส่วนสำคัญในการรับรู้ของมนุษย์ ทำให้คนที่ได้กลิ่นนั้นอยากทาน และ หิว ข้อดีอีกอย่างก็คือ กลิ่นนั้นสามารถโชยความหอมไปได้ทั่วทั้งบริเวณ ไม่ได้จำกัดเฉพาะที่เหมือนพวก poster ทั่วไป

พูดถึงเรื่องการรับรู้กลิ่นของมนุษย์แล้ว เราจึงได้ทำการทดลองในชั้นเรียน โดยแจกลูกอมให้ น.ศ. ทุกคน แล้วให้ น.ศ.ปิดตา ไม่ให้เห็นว่า นี่คือลูกอมรสอะไร จากนั้นก็ให้แกะกระดาษ แล้วอมลูกอม พร้อมกับเอามืออุดจมูกตัวเองด้วย ซึ่งเมื่อเราไม่ได้รับกลิ่นแล้ว รสชาตของลูกอมจะเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม แทบจะจำไม่ได้ว่ารสอะไร แต่ถ้าปล่อยมือและเริ่มสูดกลิ่นเข้าไปเมื่อไร่ รสชาตก็จะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

การโฆษณาทางอื่นๆ ก็ยังมีอีกมากมาย เช่น การโฆษณาโดยให้ทดลองใช้ ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์น้ำหอม หรือการโฆษณาแบบมีการทดลองให้ดู เช่น ครีมแก้ไฟลวก บัวหิมะ เป็นต้น

อาทิตย์นี้ไม่ได้มีการแนะนำ ศิลปิน หรือนักร้องคนใดเลย และตัว presentation ก็ไม่มีด้วย เนื่องจากว่า อ. ป่วย เลยไม่สามารถมานั่งทำ presentation ให้ดูได้

วันเสาร์ที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

CLASS / Week 3 : Design

อาทิตย์ที่ผ่านมาได้รับ idea ดีดี ต้องบอกว่า ดีเกินคาดจริงๆ หลังจากที่ให้ assignment ไปคือ การสร้าง brand และสินค้าตัวใหม่ๆ ให้กับ "หมูปิ้ง" ซึ่งหลายทีมก็ทำออกมาดี มีทั้งข้าวเหนียวหลากรสชาติ รสธัญพืช รสใบเตย มีการใส่สีในข้าวเหนียวด้วย พวกสีของกระเจี๊ยบเป็นต้น ทางด้านตัวหมูปิ้งก็ไม่แพ้กัน มีการคิดทำหมูปิ้งรสชาติต่างๆ บางกลุ่มมีการจัดเมนูออกมาเป็น combo ด้วย คือเป็น set พร้อมเครื่องดื่ม สำหรับคนเดียว สองคน หรือทั้งครอบครัว หลายกลุ่มคิด logo ใหม่ขึ้นมาสำหรับ brand ตัวเอง และบางกลุ่มก็มีการคิด package ขึ้นมาใหม่

จุดเด่นหลักๆ ก็อยู่ที่การมองหาจุดด้อยของหมูปิ้ง และการสร้าง brand และสินค้าใหม่นี้ ก็ต้องพยายามลดจุดด้อยนี้ออกไปให้ได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการทำ package ใหม่ การห่อหมูด้วยใบตอง หรือการทำ sushi หมูปิ้งนั้น เป็นคำตอบที่น่าสนุกดีจริงๆ นอกจากนี้ก็ยังมีคนคิดทำเครื่อง vendor machine สำหรับหมูปิ้งด้วย

อาทิตย์นี้ก็มาเริ่มสอนเรื่องของการออกแบบ มีการแนะนำตัว Print Ad และ TVC ที่ทำออกมาได้สวยงามหลายตัว บางตัวก็ดูไม่รู้เรื่อง สื่อสารออกมาแล้วงง ๆ แต่เนื่องจากเน้น design ดังนั้น จะขอดูที่การออกแบบให้ได้สวยงามเป็นหลัก

หลังจากให้ดูการออกแบบ Ad ที่สวยๆ แล้ว ก็มาต่อกันด้วยเรื่องของ Fonts ประเภทของ font การใช้ font และ ศัพท์เฉพาะของ font (Serif, Sans Serif, Kerning, Tracking, Leading) ซึ่งก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ดูเหมือนนศ.จะหลับๆ นิดหน่อย

จบท้ายด้วยการแนะนำ Artist ที่เก่งๆ ซึ่งใน week นี้มีถึง 3 คน คือ Joshua Davis ต้นกำเนิดงานสไตล์ของเค้าเองที่เรียกว่า Dynamic Abstraction, Maggie Taylor กับงานสไต์ Photomontages, และ Annie Leibovitz

สำหรับ Music of the week อาทิตย์นี้คือ Lisa Ono สาวเสียงไพเราะ สไตล์ Bossa Nova ที่มีผลงานออกมาแล้วหลายชุดมากๆ ซึ่งเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์และสไตล์ที่ดูชิวๆ นี้ ทำให้เพลงหนึ่งของเธอได้ถูกนำมาใช้ประกอบโฆษณาของการบินไทยไปอยู่ช่วงหนึ่ง

------------------------------------------------------------
=== CLICK HERE TO DOWNLOAD WEEK03 PRESENTATION IN PDF FORMAT ===

วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

CLASS / Week 2 : Creative Work & Branding

สัปดาห์ที่ 2 เรื่องงานโฆษณา Creative และ เรื่อง Branding

สัปดาห์ที่ 2 เริ่มต้นด้วยการ review assignment ที่ได้ให้กับนักศึกษาไปในเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งโจทย์ก็คือการค้นหาโฆษณาสิ่งพิมพ์และ TVC ที่ชอบ แล้วนำมาวิเคราะห์ใน Class สำหรับเนื้อหาของการสอนนั้น เริ่มต้นเข้าสู่หนึ่งในองค์ประกอบของการจัดทำโฆษณา นั่นคือการแนะนำให้รู้จักกับงาน creative และงานไม่ creative

ช่วงที่ 1 งานโฆษณา Creative และงานไม่ Creative
Creative ก็คือความคิดสร้างสรรค์ งาน creative ก็คืองานที่สามารถสื่อสารกับผู้ชมได้ โดยให้ความรู้เกี่ยวกับตัวสินค้า หรือจุดประสงค์ของการโฆษณาได้ ในลักษณะที่มีความคิดสร้างสรรค์ และจำเป็นต้องสามารถสื่อสารได้ภายในระยะเวลาอันสั้นด้วย เนื่องจากผู้ชมมีระยะเวลาในการตัดสินใจที่จะดูสื่อโฆษณาของเราไม่มาก

Presentation ที่ให้ชมนั้นจะรวมงานที่คิดว่ามีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี สำหรับบางงานที่อยู่ในหมวดของ "... Ad" คืองานที่อาจจะมีความคิดสร้างสรรค์ดีแต่มีจุดบกพร่องเช่น ใช้เวลานานไปกว่าผู้ชมจะเข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อ หรือบางโฆษณาอาจจะดูรุนแรงเกินไป ไม่เหมาะสม เป็นต้น

ช่วงที่ 2 คือ Branding หรือ ยี่ห้อ
Branding หรือยี่ห้อนั้น มีความสำคัญกับตัวสินค้ามาก สินค้าใดที่มียี่ห้อ มีการปั้นยี่ห้อของตัวเองออกมาได้ดีแล้ว ทำให้ยี่ห้อของตัวเองมีคุณค่า ทำให้เกิดความจงรักภักดีต่อสินค้า ก็สามารถที่จะใช้คุณค่าของยี่ห้อเรานั้นเอาไปทำต่อยอด ทำสินค้าต่างๆได้ ยกตัวอย่างของยี่ห้อดังๆ เช่น Apple, Nike, BMW, Polo, LV เป็นต้น เมื่อลูกค้าชอบ และรักในตัวสินค้า หรือเชื่อถือในคุณภาพของยี่ห้อแล้วนั้น ต่อมาหากต้องการทำสินค้าประเภทอื่นๆ ออกมาก็จะทำให้ลูกค้าเชื่อถือและสามารถตัดสินใจซื้อได้ไม่ยาก ยกตัวอย่างเช่น Nike ที่ทำรองเท้าจนคนเชื่อถือนั้น ต่อมาก็สามารถพัฒนามาทำนาฬิกา ไม้กอล์ฟ และอื่นๆได้

ของบางอย่างแต่ก่อนไม่เคยมียี่ห้อ ปัจจุบันก็มีการสร้างยี่ห้อขึ้นมา เพื่อให้ตัวสินค้าดูดีมีคุณค่ามากขึ้น เช่น ไข่, กระดาษ, กล้วย, น้ำดื่ม, ส้ม, หรือแม้กระทั่งรองเท้าแตะ

พลังของ Brand นั้นรุนแรงมาก จนบางครั้งสามารถสร้างเป็นลัทธิได้ ดังตัวอย่างใน presentation หัวข้อที่ชื่อว่า Power of Brand

เมื่อ Brand หรือยี่ห้อ มีคุณค่าแล้วนั้น สิ่งที่ยากกว่าการสร้าง Brand คือการรักษา Brand ดังตัวอย่างการสร้างร้านและ shop ต่างๆ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึง character และตัวตนของ Brand

ทาง Y&R ได้มีการจัดประเภทของ Brand โดยแบ่งออกเป็น 13 กลุ่มด้วยกัน อันนี้ทางผมขอยืมมาใช้ประกอบการสอนใน presentation นะครับ

สำหรับ Class Week ที่ 2 นี้ จะมีหัวข้อตามนี้ สำหรับเพลงแนะนำประจำสัปดาห์นี้คือเพลง All I Ask of You เป็นผลงานของ Andrew Lloyd Webber ร้องโดย Sarah Brightman

------------------------------------------------------------
=== CLICK HERE TO DOWNLOAD WEEK02 PRESENTATION IN PDF FORMAT ===

CLASS / Week 1 : Introduction

++ NOTE สำหรับใครที่ไม่ทราบอาจจะงงว่าใน blog72 นี่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากทางผมได้รับเชิญให้ไปสอนที่มหาวิทยาลัยธัญบุรี ตั้งแต่เทอมที่แล้วแล้ว แต่ว่าจากข้อมูลที่ได้สอนไปนั้น อยากจะเอามา review และเอา presentation ที่ได้ใช้ใน class มา post ให้นักศึกษาและทุกคนที่สนใจได้ download และเอาไปดูเพื่อทบทวน ดังนั้นจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้มาทำการ update ข้อมูลทุกๆ อาทิตย์ไปนะครับ ++

สัปดาห์ที่ 1 : แนะนำวิชา Creative and Conceptual Development

สัปดาห์ที่ 1 แบ่งการสอนออกเป็น 2 ช่วง
ช่วงที่ 1 เป็นการแนะนำวิชา และเนื้อหาคร่าวๆ ที่จะมีการเรียนการสอนในเทอมนี้
ช่วงที่ 2 เป็นการแนะนำให้รู้จักกับ Advertising Agency ว่า Advertising Agency คือใคร ทำหน้าที่อะไร และมีโครงสร้างในการทำงานอย่างไร โดยต้องการเน้นให้นักศึกษาได้เห็นว่า กว่างานโฆษณาจะออกมาหนึ่งงานนั้น จะต้องผ่านใคร และทีมใดบ้าง และเมื่อนักศึกษาเรียนจบแล้วนั้น จะไปอยู่ตรงจุดไหน หากเข้าไปทำงานในวงการโฆษณาแล้ว
ช่วงที่ 3 เป็นการแนะนำงานโฆษณาดีดีให้ดู ไม่ว่าจะเป็นงานสิ่งพิมพ์ หรืองาน TVC
ช่วงที่ 4 เป็นการให้ดูเบื้องหลังการทำงานโฆษณาหลายตัว อาทิเช่น "Human" ของ Johnnie Walker

------------------------------------------------------------
=== CLICK HERE TO DOWNLOAD WEEK01 PRESENTATION IN PDF FORMAT ===

วันอังคารที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

Tisco ETM by rgb72

ในที่สุด อีกหนึ่งฝันของ rgb72 ก็เป็นจริง เมื่อ ATM ตัวแรกของ ธนาคาร TISCO ได้บังเกิดขึ้น

จริงๆแล้วต้องบอกว่า เครื่องนี้ไม่ใช่ ATM แต่เค้าเรียกกันว่า ETM นั่นคือเครื่องทำธุรกรรมทางการเงินแต่เป็นแบบ electronic คือไม่มีเงินออกมา ไม่สามารถเบิกเงินออกมาใช้ได้ (คือสามารถใช้ check ยอด และโอนเงิน และอื่นๆอีกมากมาย)

ทาง rgb72 ได้ไปออกแบบ interface ตัว kiosk ตัวนี้โดยมี designer เก่ง และ designer นอร่า เป็นคนออกแบบทั้งหมด สำหรับตัว ETM นี้ ต้องบอกว่าเป็น Teller Machine ตัวแรกของประเทศที่ใช้ระบบ touch screen และ interface ก็ใช้ flash เป็นตัวทำปุ่มและ animation

ต้องบอกว่าเป็นงานที่เราภาคภูมิใจจริงๆครับ สำหรับตัว ETM นี้ ปัจจุบัน (วันที่เขียน) นี้ ทาง Tisco กำลัง test ระบบอยู่ โดยได้ติดตั้งเครื่องทดลองไว้ที่ตึก Tisco ถนนสาทร ใครว่างก็ลองไปเล่นดูได้ครับ รับบัตรได้ทุกธนาคาร หรือหากใครไม่ไป เราก็มีรูปมาฝากครับ



วันเสาร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

Business Card ideas

วันนี้เผอิญไปเจอเว็บหนึ่ง รวม business card แบบแปลกๆ เลยเอา link มาให้ได้ดูกันคับ
http://creativebits.org/cool_business_card_designs

ลองดู

วันศุกร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

Poktoong2 : rgb72 vs Area80

หนึ่งในขั้นตอนการทำเว็บไซต์ Poktoong.com ทางทีม rgb72 ต้องขอยืมมือดีดีจาก Area80 มาช่วยเหลืออย่างมาก โดยในวันนี้เป็นวันที่ทาง rgb72 ได้เข้าไปเยี่ยมเยียน Area80 ถึงถิ่น

ส่วนที่ทาง Area80 ยื่นมือเข้ามาช่วยก็คือ ส่วนของ Game Poktoong ซึ่งจะต้องมีทั้งหมด 3 ด่าน เพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมาย ซึ่งนั่นก็คือการพาหญิงไปออกเดท แล้วก็ไปจบที่โรงแรม โดยเกมที่ทำนั้นมีดังนี้ เกมหยิบซูชิ เกมตอบคำถาม และเกม Dance ซึ่งทั้ง 3 เกมนี้ ทาง rgb72 ได้มอบหมายให้ทางทีม Area80 เป็นผู้ทำทั้งหมด

นอกจากตัวเกมแล้ว ในงาน poktoong นี้ยังมีสิ่งที่เป็น hi-light สำคัญก็คือการนำภาพวิดีโอที่ถ่ายนางแบบและนายแบบจาก bluescreen มาใส่ลงไปในเกมนี้ด้วย ซึ่งการทำงานในส่วนนี้ ก็ต้องร่วมมือกันทั้ง 2 ทีม

Tools ที่ใช้ในการพัฒนาในครั้งนี้ก็แน่นอนครับ Flash และ Photoshop สำหรับการโอนงาน video นั้น ก็มีสองทาง ครั้งแรกเป็นการนำเอา raw file ไปให้ทาง Area 80 เลย โดยใช้ External Harddisk เน๊ยะแหละครับ แต่สำหรับการโอนงานในช่วงต่อมาก็สามารถโอนผ่าน FTP ได้แล้ว ซึ่งถึงแม้ไฟล์จะใหญ่เกือบๆ 100MB แต่ก็คิดว่าน่าจะดีกว่าการที่จะต้องวิ่งจาก rgb72 ไป Area80

ไปเยี่ยม Area80 คราวนี้เจอกับตัวดีหลายคนครับ หลายคนที่เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยรู้จักหน้าอย่างเช่น Boat (ไอ้นี่เจอบ่อย), ก๊อฟ (programmer ที่คุยกันมาตั้งนาน หลาย project แต่ไม่เคยรู้จักหน้ากันเลย) และ Joke (นี่ก็เป็นอีกคนที่เคยได้ยินชื่อบ่อย ถึงแม้ว่าจะไม่เคยร่วมงานกันเลย) และนอกนั้นก็มีเกตุ (แฟน boat) และเจษ

Boat นั้นเป็นหัวเรือใหญ่ในการทำ section เกมและ actionscript สำหรับงานนี้ ส่วน ก๊อฟนั้นมาเพื่อมาช่วย support เรื่องระบบ log-in (ซึ่งปัจจุบันยังทำงานที่อื่นอยู่) ซึ่งงานนี้ทางทีม Area80 ใช้เวลาไปประมาณ 1 อาทิตย์เพื่อจบงาน

วันนี้มีภาพเก็บมาฝาก บรรยากาศการทำงานที่ office ของ Area80 ในช่วงเวลาตั้งแต่ 3ทุ่มเป็นต้นไป