rgb72 Blog, Technology, Internet Marketing, Hardware, Software, and Web Design Reviews

วันอังคารที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ewit meeting & Design+Culture

เมื่อศุกร์ที่ผ่านมา ศุกร์ที่มีพิธีเปิดโอลิมปิกนั่นแหละ ผมมีนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆสมัยทำงานอยู่ ewit เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว โดยมีผู้ร่วมวงมากมายดังนี้ (ชื่อ / ที่ทำงานปัจจุบัน) พี่เอก / ewit, พี่วิชญ์, เหน่ง / Ogilvy, นัท / be our friend, ชล / Ogilvy, พี่โอ๋ / redlab, รัช / ACE, Guess / Ogilvy, แว่น / ewit, โจ้ / รอยเตอร์

เรื่องราวที่คุยกันในช่วงแรกก็มีแต่เรื่องเผากัน เม้ากันถึงเรื่องในอดีต เรื่องเก่า สมัยยังทำงานด้วยกันอยู่ ซึ่งมีแต่ความสนุกสนาน บ้าบอ และหาไม่ค่อยจะได้ในสมัยนี้ แต่ว่าเรื่องราวที่ได้มาคุยกันในตอนท้ายนี่สิ ไม่รู้ว่าคุยกันยังงัย คุยไปคุยมามาจบกันที่เรื่องของ design ในประเทศไทย

เรื่องมันเริ่มอยู่ที่ว่า พี่โอ๋ ถามผมถึงเรื่องของการไป pitch งานว่ามีปัญหาอะไรมั้ย ยากมั้ย ผมก็ตอบว่าไม่่ค่อยจะมีปัญหานะ ของผมเน้นไปในทาง design ส่วนพี่โอ๋บอกว่า จริงๆถ้าเราเน้นเรื่อง function ทำให้เว็บเราสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้มากๆ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์และตอบโจทย์ทางการตลาดได้ นั่นน่าจะเป็นวิธีที่ทำให้งานมันขายได้ง่ายขึ้น และลูกค้าเป็นภาพที่ัชัดและง่ายกว่าการขาย design อย่างเดียว

พี่วิชญ์เข้ามาพูดเปิดประเด็นต่อว่า ถ้าคิดจะ design ในเมืองไทยน่ะ ยาก เมืองไทยน่ะขาย design ลำบาก เมื่อมาลงรายละเอียดจริงๆในตัวเนื้องานจะเห็นว่า design น่ะ แทบจะไม่ได้ราคาอะไรเลย

ไอ้นัทเห็นด้วย

แต่ผมเห็นด้วยไม่ 100% เลยคุยต่อว่า จริงๆแล้วงานที่ rgb72 ทำ จะเป็นเว็บที่เน้น design และแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของบริษัท องค์กร หรือ product นั้นๆ ดังนั้นจริงๆแล้วทุกวันนี้เราก็ขาย design อยู่ ส่วนตัว programming นั้นเราก็เอาไว้ support เฉยๆ บริษัทที่เห็นค่าของการออกแบบนั้นมักจะเป็นบริษัทที่ต้องการเน้นการสร้างภาพลักษณ์์องค์กร บริษัทสมัยใหม่ ดังนั้นนี่คือ target ลูกค้าส่วนใหญ่ของ rgb72

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เจอปัญหา ปัญหาที่เจอบ่อยๆ และน่าเบื่อก็คือ การที่เราได้ทำการออกแบบไปแล้ว ได้รับการ approve จากทีมงานในฝั่งของลูกค้าแล้ว (ซึ่งมีจำนวน 5-10คน) แต่เมื่อลูกค้าเอางานไปให้นายใหญ่ดู นายใหญ่ไม่ OK ซะงั้น แล้วก็กลายเป็นว่า ทุกอย่างที่ได้คุยกันมา ปรับกันมาตลอด 2 อาทิตย์ต้องเริ่มใหม่หมดตั้งแต่ศูนย์ ซึ่งจริงๆแล้ว ถ้านายใหญ่มีอำนาจมากขนาดเสียงทั้งหมดที่เคย vote กันมาว่าดีแล้ว ถูก reject ได้นั้น นายใหญ่เองก็น่าจะมาร่วมประชุมซะตั้งแต่ทีแรก (แล้วเราก็เริ่มยกตัวอย่างลูกค้าใหญ่ๆ หลายรายที่เพิ่งจะประสบมาไม
"ลูกค้าพวกนั้นกูก็เคยเจอ" พี่วิชญ์บอก (และไอ้นัทก็ด้วย)

บริษัทหลายที่ที่เราเห็นใหญ่ๆ แต่จริงๆแล้วก็ทำงานกันแบบนี้ พี่วิชญ์พูดว่า "สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของ connection"

Connection ความสัมพันธ์และความเชื่อถือนั่นแหละที่เป็น bottom line ไม่ใช่ design หลายงานที่ลูกค้า "เชื่อ" ในตัวเรา เพียงแค่เราไป present งานก็สามารถขายได้อย่างรวดเร็ว แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าลูกค้าไม่เชื่อในตัวเรา งาน design ที่ว่าดีนักหนา ถูกหลัก usability มากมายก็ยากที่จะผ่าน

อย่างงานหนึ่งที่ทางผมเพิ่งจะเจอมา เจ้านายใหญ่เชื่อในฝีมือของชาวต่างชาติมากกว่า ดังนั้นไม่ว่าเราจะพูดอะไรไป ก็ยากที่จะเข้าหู (ทั้งๆที่ผมเองเคยทำงาน freelance ให้กับต่างประเทศ โดยงานที่ได้รับมานั้นก็คืองานเว็บของบริษัทใหญ่ในประเทศไทยนั่นเอง เพียงแต่ว่าบริษัไทยบริษัทนี้ไม่รู้ว่างานที่เค้าส่งออกให้ต่างประเทศนั้น แท้จริงคนที่ทำงานทั้งหมด นั่งอยู่ในห้องที่อยู่ไกลไม่เกิน 5กม.)

เลยทำให้กลับมาคิดต่อว่า หรือการที่ทีมงานเข้าไป present งานให้นายใหญ่นั้น ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือพอ เรียกง่ายๆว่า นายใหญ่ไม่เชื่อมั่นในทีมงานของตัวเอง คิดไปถึง project หนึ่งที่ลูกทีมของบริษัทลูกค้าเองเข้าไป present เท่าไร่ก็ไม่ผ่าน กลับมามีแก้มากมาย แต่พอเราเข้าไปในฐานะ designer ไปอธิบายให้เค้าฟัง เค้าก็เชื่อและให้ผ่านง่ายดายซะอย่างนั้น

หรือสรุปแล้ว design ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับเมืองไทย และยังเป็นสิ่งที่ขายไม่ได้ แต่ว่า connection ต่างหาก ที่ใช่

ผมเองก็ยังสรุปอะไรมากไม่ได้ แต่เห็นว่าเรื่องที่คุยกันนี้น่าสนุกดี น่าเอามาแชร์ให้หลายๆคนได้คิดดู

แล้วไม่รู้ว่าคุยกันยังงัยต่อ แต่เราก็ได้พูดถึงว่า ช่วงนี้เราได้อ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ดีมาก ชื่อ Design + Culture โดยคุณประชา สุวีรานนท์ ซึ่งได้เจองานของพี่วิชญ์อยู่ในนั้นด้วย

พี่วิชญ์ พี่เอก ไอ้นัท ไอ้เหน่ง รู้จักคุณประชากันหมด แล้วก็เคยได้อ่านหนังสือเล่านี้กันแล้ว

เลยแวะเอามาบอกเป็นของแถมว่า Design + Culture เป็นหนังสือที่น่าอ่านมากๆ รวบรวมเรื่องราวของการออกแบบ แนวคิด และเบื้องหลังต่างๆที่น่าสนใจ โดยคนที่ใครก็บอกว่าเค้าเป็นคนที่สุดยอด ขนาดพี่เอกยังบอกว่า

"คนอะไรก็ไม่รู้ เก่งชะมัด"

๒ ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เสียดายจังรู้ว่าไปเยอะยังงี้น่าไปด้วยจัง แต่ไหมต้องมานัดกันวันเปิดโอลิมปิควะไอ้เก่ง ตูอยากดูโอลิมปิคมากกว่าอ่ะ ไว้หนหน้า อย่ารอนานจนมีโอลิมปิคอีกรอบค่อยนัดกันแบบนี้นะ จะได้ไปเมาท์ด้วย นะ คิดถึงเหมือนกัน

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่าๆๆๆๆๆ ว่าไปแล้วก็อยากคุยด้วยเหมือนกันครับผม ในฐานนะคนทำงาน online ทั้ง Digital Media และ Technology supports ทิศทางจะได้ไปด้วยกับงานดีไซน์ น่าสนุกดีนะ