rgb72 Blog, Technology, Internet Marketing, Hardware, Software, and Web Design Reviews

วันพุธที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เกาหลี (ตอนที่1)

เพิ่งกลับจากเกาหลีมาได้ 2 วัน เลยตั้งหน้าตั้งตารีบเขียนซะก่อนจะลืม ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ไปเกาหลี ก็ได้เห็นสิ่งของแปลกหูแปลกตาไปเรื่อย ว่าแล้วก็ไม่ลืมที่จะเก็บข้อมูลอะไรดีดีกลับมาฝากกัน

เก็บอะไรมาได้บ้าง
ไปคราวนี้ไปกับทัวร์ เลยได้พูดคุยกับหัวหน้าทัวร์ซึ่งเป็นคนเกาหลี ได้รู้เรื่องราว วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และประวัติศาสตร์นิดหน่อยของเกาหลี นอกจากนี้ไปเดิน 7-11 ก็ไม่วายไปถ่ายรูปสินค้าแปลกตา package สวยๆมาให้ดูอีกต่างหาก ซึ่งนอกเหนือจากเมืองที่ศิวิลัยสุดๆ ไปคราวนี้ถือว่าโชคดี เพราะที่เกาหลีมีงาน Seoul Design Olympiad 2008 ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่มาก จัดที่สนามกีฬาที่ทางเกาหลีเคยใช้ในงาน Olympic เมื่อปี 1988 ด้วย


งาน Design Olympiad 2008

Korean's Life
ไปถึงเกาหลีก็ได้สังเกตดูตึกรามบ้านช่อง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ โดยในวันแรกๆ ได้ไปเดินเล่นอยู่แถบชนบท ส่วนสองวันหลังก็ได้ไปอยู่ในเมือง ซึ่งหลังจากที่ได้ไปเดินในเมือง ได้ขึ้นรถก็ได้สังเกตเห็นว่า
1. ถนนที่เกาหลีนี่เรียบเนียน สวยสะอาด สีถนนชัดเจนไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ
2. คนที่นี่อยู่กันใน คอนโด ซะส่วนใหญ่ ซึ่งถึงแม้จะมีมากมาย แต่ก็มีการจัดให้เป็นระเบียบ มีการทาสี และตัวเลขกำกับเพื่อแบ่ง zone
3. ตึกที่กำลังก่อสร้างอยู่นั้น จะมีการป้องกันฝุ่นและอันตรายจากอิฐหรือก้อนหินที่อาจจะหล่นลงมา โดยใช้แผงพลาสติกกั้น แต่หากแผงพวกนี้ก็มีสีสันสวยงาม ดูแล้วไม่เก่าๆ ขาดๆ


บรรยากาศตามท้องถนน (ชานเมืองนิดๆ)

นั่งอยู่บนรถ Taxi ก็เห็นว่าที่นี่เค้ามีติด GPS กันแทบจะทุกคัน อย่างที่เรารู้กันว่า GPS มีไว้บอกทาง มีเสียงบอกว่าให้เราชิดซ้ายชิดขวา เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา แต่ว่า GPS ที่นั่นทำมากกว่านั้น นั่งไปนั่งมาได้ยินเสียง GPS (ซึ่งใช้เสียง alert set เดียวกันกับ MSN Messenger) ร้องเตือนขึ้นมา และมีตัวอักษรเป็นเลข 60 ขึ้นมาตัวใหญ่ๆ ซึ่งมีข้อความเตือนว่า ขณะนี้คุณได้ขับรถเร็วกว่าที่กฏหมายกำหนดไว้ คือที่เกาหลีนี่จะมีกล้องคอยจับผู้กระทำผิดกฎจราจรอยู่เป็นระยะๆ ดังนั้นหากขับรถเร็วเกินกำหนด ตัว GPS นี้ก็มีหน้าที่ช่วยเตือน เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ตำรวจเค้าจะไม่ได้มายืนรอเราอยู่ตั้งสะพานลอยเหมือนเมืองไทย แต่จะส่งใบสั่งพร้อมค่าปรับไปให้ตรงถึงที่บ้าน

ลืมบอกไปว่า ที่เกาหลีนี่ขับรถพวงมาลัยซ้าย (ตรงข้ามกับของไทย) และคนเกาหลีส่วนใหญ่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้ (ซึ่งอันนี้จะเหมือนๆ คนไทย) และคนเกาหลีเป็นคนที่รักชาติ เป็นพวกชาตินิยมเอามากๆ ไกด์ที่ไปด้วยเล่าว่า ก่อนหน้านี้ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในเกาหลีมีราคาสูงมาก เพราะว่าทุกอย่างเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ทำให้รายได้กับค่าใช้จ่ายนั้นไม่ลงตัวกัน ทางรัฐบาลจึงพยายามสนับสนุนให้มีการผลิตสินค้าและใข้กันเองภายในประเทศให้มากขึ้น โดยในช่วงแรกนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung ก็ผลิตสินค้าออกมามากมาย แต่ก็ไม่มีใครซื้อ จนกระทั่งทางรัฐบาลของเกาหลีต้องมาออกทีวี รณรงค์ให้มีการใช้ของที่ผลิตกันภายในด้วยกันเอง

คนเกาหลีจึงนิยมใช้ของที่ผลิตภายในประเทศมากมาย มองไปทางไหนก็จะเจอแต่ยี่ห้อใหญ่ๆอยู่ไม่กี่เจ้า เช่น Samsung, LG, Hyndai ประมาณนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเกาหลีเคยเป็นประเทศที่ผ่านศึกสงครามมากมายมาก่อน จึงน่าจะเป็นผลทำให้คนเกาหลีเองไม่อยากจะกลับไปอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่แบบนั้นอีก จึงเป็นแรงผลักดันให้คนในชาติรักกันเอง ทำอะไรก็ได้เพื่อชาติ และสนับสนุนสินค้าภายในประเทศ

มองตามถนนจะเห็นว่า รถยุโรปนั้นจะหาน้อยมาก รถ Benz รถ BMW เจอแทบจะนับคันได้ แต่ว่ารถที่เห็นเป็นจำนวนมากเลยก็คือ Hyndai สินค้ามือถือระดับโลกอย่าง Nokia ทีเป็นที่หนึ่งในหลายๆประเทศ แต่ก็ไม่สามารถตี brand Samsung ในเกาหลีได้เลย หรือเว็บไซต์ Google ซึ่งเป็นเว็บไซต์ search engine ระดับโลก ก็ยังไม่สามารถชิงความเป็นหนึ่งมาจากเว็บไซต์ local อย่าง naver.com

ถึงแม้วิถีชีวิตของคนที่นี่ที่เป็นคนเจ้าระเบียบ ตั้งใจทำงาน ที่ดูแล้วจะเหมือนวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น แต่คนเกาหลีเองก็ไม่ชอบให้ตัวเองถูกเรียกอย่างนั้น เพราะว่าในสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ระหว่าง ญี่ปุ่น และเกาหลีนั้นไม่ค่อยจะดีนัก เรื่องอาหารการกินและการรักษาสุขภาพของตัวเองนั้น เกาหลีก็ให้ความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ

อาหาร ชีวิตและสุขภาพของคนเกาหลี

ระหว่างที่ไปมา 4 วัน สิ่งที่ได้กินมาตลอดก็คือ เนื้อย่างเกาหลี แบบที่ปิ้งกันบนเตานั่นล่ะ และอีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ กิมจิ เลยทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า กินแบบนี้ทุกวันๆ ไม่กลัวจะเป็นมะเร็งหรอ กินแต่ของไหม้ๆ

ไกด์สาวผมบอกว่า เนื้อย่างเกาหลีนี้ถือว่าเป็นอาหารชั้นดีสำหรับเค้า จะมากินก็เฉพาะในโอกาสพิเศษ กินกันก็ประมาณเดือนละครั้ง หรือ สองเดือนครั้งไม่ได้บ่อยมาก แต่ว่าที่บ่อยมากก็คือ กิมจิ คือกินทุกวัน มีทุกมื้อ

ผมก็สงสัยต่อว่า แล้วไอ้กิมจิเน๊ยะ มันเป็นของดองนี่ มันไม่น่าจะดีแต่สุขภาพซักเท่าไร่

ไกด์อธิบายต่อว่า เค้ามีกิมจิอยู่มากกว่า 200 ชนิด และแต่ละชนิดก็คือผัก ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน และจุลินทรีย์ทีได้จากการหมัก ทำให้คนเกาหลีไม่เป็นโรคง่าย แข็งแรง เพราะไม่ค่อยได้กินเนื้อ เธออ้างว่า นิตยสาร Scientific American จัด rating อาหารที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุดในโลก 5 อันดับ โดย กิมจิก็เป็นหนึ่งในนั้น รองจาก โสมเกาหลี ที่ติดชาร์ตสูงสุดอยู่ที่อันดับ 1


กิมจิ ผักดองสำคัญในทุกมื้ออาหาร

คนเกาหลีเป็นคนที่รักสุขภาพมาก ดังนั้นมักจะไม่ค่อยเห็นคนอ้วนมากๆ ในเกาหลี โรงอาหารของเด็กในช่วงประถมนั้นจะไม่มีขายน้ำโค๊กเลย จะมีแต่น้ำผลไม้ เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะโรงอาหารทุกโรงจะต้องถูกควบคุมคุณภาพโดยรัฐบาลเกาหลี

อาหาร hot hit ของที่นี่ที่ได้ไปลองมาแล้วก็คือ "นมกล้วย" เป็นนม ที่เค้าว่าได้มาจากกล้วย รสชาติหอม หวานนิดๆ มันมากหน่อย ทีแรกไม่รู้หรอกว่าคืออะไร แต่เห็นคนมาซื้อจากเซเว่นออกไปเป็นลังๆ เลยคิดว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ ซึ่งนอกจากนมกล้วยแล้วก็คือขนมอีกมากมาย เช่นขนมแป้งกลมๆนี้ เป็นขนมที่มีลักษณะเป็นแผ่นแป้งบางๆ สองชั้น ปิ้งแล้วนำมาประกบกัน โดยมีใส้ Cinemon หรือ Chocolate


นมกล้วย


ขนมแผ่นบางๆใส้ Cinemon

เกาหลีและการท่องเที่ยว

ช่วงหลายปีให้หลังนี้ เราจะได้เห็นหนัง และละครจากประเทศเกาหลีเยอะแยะมากมาย โดยแต่ละเรื่องก็มีความสนุกสนานแตกต่างกันไป ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ ผมเองก็ไม่ค่อยจะได้เห็นประเทศเกาหลีอยู่ในสายตาว่าจะไปท่องเที่ยวซักเท่าไร่ ไม่ใช่แค่ไม่คิด แต่ว่าได้ยินจากคนที่เคยไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วกลับมาแล้วบอกว่า คนเกาหลีมารยาทแย่มากๆ แต่ช่วงปีหลังๆที่เกาหลีมีการพัฒนาอย่างมากมาย บริษัทท่องเที่ยวและประเทศเกาหลีเองก็เริ่มที่จะทำการโปรโมทประเทศตัวเองเพื่อหานักท่องเที่ยวเข้าไปประเทศ โดยโปรแกรมที่เป็น hi-light มากๆเลยก็คือ โปรแกรมตามรอยละครเกาหลี

ไปคราวนี้ผมเองก็ไม่ได้พลาดเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น แดจังกึม, Full House, Winter Love Song ก็ได้ไปมาหมด (ทั้งๆที่หนังก็ไม่เคยได้ดู แล้วพอไปถึงก็งงๆอยู่ว่านี่มันฉากไหนกัน เคยเห็นแต่ poster) แต่ว่าที่ไปก็เพราะว่ามันอยู่ในโปรแกรมทัวร์ของเกาหลีที่เหมือนว่าใครๆ ไปก็ต้องไปเยี่ยมเยียนสถานที่เหล่านี้ ก่อนหน้านี้ที่ผมได้เห็นว่าฉากการถ่ายทำหนังอยู่ในโปรแกรมทัวร์ ก็ทำให้ผมร้องอ๋อและทึ่งในประเทศเกาหลีว่า แทนที่เค้าจะมาเน้นเรื่องศิลปะวัฒนธรรมเพื่อชักจูงคนเข้าประเทศ แต่เค้ากลับเอาหนัง และละครที่คนติดกันงอมแงมมาเป็นตัวชูโรงแทน อย่างนี้จะเรียกว่า Blue Ocean ได้รึเปล่าน้าา

ซึ่งเกาหลีเองก็มาได้ถูกทางจริงๆ คนแห่แหนกันเข้าเกาหลีก็เพื่อมาดูสถานที่เหล่านี้ เพราะว่าศิลปะของเกาหลีเองว่ากันตรงๆแล้ว สู้ประเทศไทยไม่ได้เลย จากที่ได้ไปตามวัดวาอาราม รวมไปถึงปราสาทที่ต่างๆ ก็พบว่า ศิลปะและสถาปัตยกรรมของเค้านั้น ดูธรรมดามาก วังแต่ละวังถูกสร้างเป็นรูปแบบเดียวกัน การทำลวดลายก็มีเพียงแค่เอาสีมาวาดๆ ต่างจากของไทยเราที่การจะทำผนังวัด ต้องเอากระจกเป็นชิ้นเล็กๆ มานั่งแปะให้ติดๆกัน ดูแล้ววัดไทยเรา ละเอียดกว่าเยอะ ผมเองก็ได้ยินคนต่างชาติพูดมาเหมือนกันว่า ถ้าได้ไปวัดพระแก้วของไทยเราแล้ว ที่นี่ดูแล้วธรรมดามากๆ





วังเก่าของเกาหลี

(รอตอน 2 เรื่อง เกาหลี และ Design)

ไม่มีความคิดเห็น: