rgb72 Blog, Technology, Internet Marketing, Hardware, Software, and Web Design Reviews

วันศุกร์ที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

ว่ากันด้วยเรื่องของ Logo

วันนี้นั่งอยู่ในรถ ก็คุยกันเรื่อง logo โดยเนื้อเรื่องนั้นเริ่มจากคำถามที่ว่า "Logo มี trend ด้วยหรอพี่?" โดยเหตุผลที่ถามก็เพราะว่า หลายครั้งที่เราเห็น logo ของบริษัทหลายบริษัทที่ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน จะมีหน้าตาเหมือนกัน (ในที่นี้จะขอไม่ยกตัวอย่างชื่อบริษัท) เช่น บางบริษัททำ logo ใหม่เป็นรูปทรงกลม 3มิติเหมือนหยดน้ำ ซึ่งก็จะมีอีกหลายๆบริษัทที่ออกแบบ logo เป็นรูปหยดน้ำเหมือนกัน เหมือนเป็น trend ที่กำลังฮิต

ในความคิดส่วนตัว ผมคิดว่า logo ไม่สมควรที่จะต้องเป็นไปตาม trend ใดๆ สิ่งที่ logo สมควรจะเป็นที่สุดก็คือการเป็น logo ที่สามารถแสดงถึงตัวตนที่แท้จริงของบริษัทนั้นๆได้ หลายๆ logo บนโลกนี้ที่ผมชอบ ซึ่งก็ไม่ได้มี graphic ลวดลายอะไรที่ยุ่งยากมากมาย บางครั้งก็เป็น logo ที่มีแต่ตัวอักษร แต่ความเจ๋งของมันก็คือ concept และแนวคิดที่อยู่ด้านหลังของ logo เหล่านั้นต่างหาก

ผมเลยพูดถึง logo หลายๆตัวที่ติดอยู่ในหัวตลอดเวลาและพอจะรู้ความหมายหรือเรื่องราวของมันมาเล่าให้ฟังกันบ้าง

Logo แรกคือ Amazon.com

หลายคนคงเคยเข้า amazon.com .. logo ของ amazon.com เป็น logo ที่เรียบง่ายมากๆ ไม่ต้องเล่นสีสันหรือ graphic อะไรมากมาย เป็น text สะกดคำว่า Amazon.com กับลูกศรอยู่ทางด้านล่างของ logo ถ้าจะให้ลองดูดีดี ลูกศรนี้ลากจากตัวอักษร A ไปถึงตัวอักษร Z ในความหมายคือว่า Amazon.com มีทุกอย่าง ตั้งแต่ A-Z นั่นงัยครับ

ความเรียบง่าย ที่นำเสนอความเป็นตัวบริษัทได้อย่างชัดเจน ความเจ๋งที่อยู่ภายใน

Logo ที่ 2 เป็นหนึ่งใน logo ที่ผมชอบมากๆ.. FedEx

FedEx คือบริษัทรับสิ่งพัสดุ คู่แข่งสำคัญๆ ก็คือ DHL ปัจจุบันนี้หาคนไม่รู้จัก FedEx คงยากนะครับ อย่างไรก็ตาม Logo ของ FedEx ออกมาได้ประมาณ 10 ปีเห็นจะได้

แวบแรกที่ผมเห็น logo ของ FedEx เมื่อทำการ rebrand แล้ว ก็พบว่ามันเป็น logo ที่เรียบง่าย แต่สวยมากๆ (ชอบถึงขนาดเอามาทำเป็น project ส่งอาจารย์สมัยเรียน)

อย่างไรก็ตาม พอได้รู้ทีหลัง ก็พบว่า ที่ตัว logo ของ FedEx เองนั้นมีอะไรอย่างหนึ่งซ่อนอยู่

ลูกศร

เห็นมั้ยครับ เป็นลูกศรสีขาวที่เป็นช่องอยู่ระหว่าง E กับ x ทาง designer บอกว่า ลูกศรนี้แสดงให้เห็นถึงความรวดเร็ว และแม่นยำ แน่นอน.. อย่างนี้เรียกว่า สวยลึกๆ

Logo ต่อมาคือ Yamato

Yamato เป็นบริษัทขนส่งของญี่ปุ่น (ชื่อก็บอกอยู่) ส่วน Logo นี้เป็นรูปแม่แมวคาบลูกแมว ซึ่งเปรียบเทียบว่า แม่แมวที่คาบลูกแมวนั้นจะคาบด้วยความทนุถนอม นั่นหมายถึงความปราณีตและทนุถนอมในการขนส่งสินค้า ส่วนแมวนั้น สำหรับคนญี่ปุ่นหมายถึงความโชคดีครับ ความชอบโดยส่วนตัวนั้น นอกจาก concept แล้ว ผมยังคิดว่า ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจคิดมากๆ เราก็อาจจะออกแบบ logo สำหรับบริษัทนี้มาเป็นรูปรถยนต์ขนส่งสินค้า หรือไม่ก็อาจจะเป็นรูปมือแล้วมีสินค้าอยู่บนมืออะไรอย่างนี้ แต่นี่ ใช้ "แมว" และเป็นแม่แมวคาบลูกแมว .. ลึกซึ้งลึกซึ้ง

Lucent Technologies

เป็นหนึ่งใน logo ที่มีการถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมาก ในทั้งทางบวกและลบ Logo นี้ออกแบบโดยบริษัท Landor Associates ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกันกับที่ออกแบบ logo ของ FedEx ล่ะครับ ซึ่งตัว logo นี้ สิ่งที่สะดุดตา และทำให้จำได้แม่นมากๆ ก็คือตัว Logo ที่เป็นภาพวาดพู่กันออกมาเป็นรูปวงกลมสีแดง ซึ่งทาง designer เค้าเรียกว่า "Innovation Ring" แต่กับคนที่ไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปซึ่งบอกว่า logo นี้หมิ่นศาสนาพุทธ หรือวัฒนธรรมเอเชีย หรือแม้กระทั่งพนง.ของ Lucent เองที่บอกว่า มอง logo แล้วเหมือนรูปโดนัทที่วาดโดยเด็กตัวเล็กๆ

สำหรับ logo ตัวนี้ concept เบื้องหลังลึกๆ คืออะไรผมไม่แน่ใจ แต่ที่เอามาให้ดูเพราะเป็นหนึ่งใน logo ที่เห็นครั้งเดียวแล้วจำได้แม่น ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญของการเป็น logo นั่นคือความสามารถในการทำให้คนที่เห็น จดจำได้าง่าย รวดเร็ว และไม่ลืมชื่อบริษัท

ปิดท้ายด้วย logo ของ 7 eleven.. logo ที่มีคนพูดถึงกันเยอะมากอีก logo หนึ่ง

เหตุที่เป็น logo ที่มีคนพูดถึงมากที่สุด logo หนึ่งก็เพราะว่า ตัวอักษรสุดท้ายของคำว่า Eleven นั้น สะกดด้วย "n" ตัวเล็กเพียงตัวเดียว ในขณะที่ตัวอักษรอื่นๆก่อนหน้านี้ ELEVE นั้นสะกดด้วยตัวใหญ่หมดเลย

หลายคนอ้างว่า การทำ logo เป็นรูปตัว 'n' เล็ก ก็เพื่อทำให้เหมือนกับเป็นรูปแม่เหล็ก ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นฮวยจุ้ย ช่วยดึงดูดเงิน และตัวลูกค้าเข้ามาในร้านได้ ซึ่งความเข้าใจตรงนี้ได้ถูกพิสูจน์ด้วยการที่มีคนเมล์ไปถามที่ 7 eleven สาขาใหญ่ถึงความเป็นมา แล้วก็พบสาเหตุว่า..

การที่ทำตัว 'n' เป็นตัวเล็กนั้น เกิดขึ้นเมื่อภรรยาของเจ้าของ 7 eleven ในสมัยก่อน เห็นว่าเมื่อทำตัว 'n' ให้เป็นตัวใหญ่เหมือนตัวอื่นๆแล้ว จะทำให้ความสามารถในการมองเห็นและอ่านชื่อนั้นเป็นไปได้ยากกว่า ดังนั้นจึงได้ขอปรับให้เป็น 'n' ตัวเล็กอย่างที่เราเห็นๆกันง่ายๆ แบบนั้นแหละครับ .. logo ต้องสามารถส่งข้อความถึงลูกค้าได้ด้วย

จริงๆ มีเรื่องราวของ logo อีกหลายอย่างที่อยากจะพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นความหมายของ Starbucks หรือการเปลี่ยนสีของ logo ระดับโลกอย่าง McDonald's และ KFC เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศรอบข้างในตัวเมืองกรุงเทพมหานครนี้ เอาเป็นว่าไว้โอกาสต่อไปละกันนะครับ

วันเสาร์ที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

POKTOONG: GOLD WINNER AT TDMA!

POKTOONG.com โดย rgb72.com ได้รับรางวัล Gold จาก TDMA! โดยงานนี้ทาง rgb72 ได้รับความไว้วางใจในการทำ web production: concept design, flash design and animation, flash actionscript, และ database programming จาก ARCWW และ กระทรวงสาธารณสุข

วันเสาร์ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Apple Pro Day : Making a Web with a Mac

วันนี้ถือว่าเป็นวันที่สำคัญมากๆ วันหนึ่งในประวัติศาสตร์ rgb72 ..​พูดแล้วเดี๋ยวจะหาว่าเว่อร์ไป

ตื่นแต่เช้าทั้งๆ ที่เมื่อคืนนอนก็ดึกเพราะมัวแต่ซ้อม present แถมยังนอนไม่หลับอีกต่างหาก เช้านี้ฝนตก รถติดสุดๆ ถึงขนาดตั้งจอดรถและวิ่งขึ้น BTS ไป ถึงที่หน้างาน 45 นาทีก่อนงานเริ่ม

วันนี้ทาง rgb72ได้มีโอกาสขึ้นไปพูดบนเวทีงาน Apple Pro Day ครั้งที่ 2 โดยมีหัวข้องานว่า Apple Pro Day: Making a Web with a Mac โดยมีผม (เก่ง) และคุณอู ขึ้นไปพูด หลักๆ ก็จะเป็นเรื่องของ ภาพรวมตลาดสื่อออนไลน์ การทำ website อย่างง่ายๆ ด้วย iPhoto และ iWeb และก็ตามด้วยการเปิด case studies งานที่ผ่านๆ ที่เราได้ทำ เช่น mPay, Matching Entertainment และ Matching Studio

เหตุการณ์ในวันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ถึงแม้ว่าจะมีติดๆขัดๆบ้างในช่วงแรกที่เจอรถติดมหันต์ (ขนาดเพื่อนที่จะมาดูบอกว่า ถึงงาน Apple ตอน 11.30 เลยว่ากลับดีกว่า) หรือว่าจะเป็นเรื่องการ switch หน้าจอ กับเครื่อง mac 2 เครื่องที่ไม่ smooth มากนัก แต่โดยรวมแล้วการ present งานออกมาดูดี และมีคนสนใจเยอะ คนที่เค้ามาดูงาน มีเดินออกบ้างแต่ไม่มาก มีหาวบ้าง อันนี้ชัวร์ แต่ว่ารวมๆแล้วคิดว่าคนดูน่าจะอยู่ประมาณ 300 คนเห็นจะได้ เสียดายที่วันนี้ฝนตก ไม่งั้นคนอาาจจะมามากกว่านี้ (แหะๆ จากที่ทีแรกคิดว่าจะมีคนมาดูแค่ 20 คนแล้วหลับ)

กลายเป็นว่างานนี้เวลาน้อยเกิน เพราะว่ากว่าจะเริ่มก็เกือบ 11โมง เพราะว่าฝนตกวันนี้ หลายอย่างเลยล่าช้า ทาง team Apple บอกว่า ให้เวลาเราถึง 11:45 ซึ่งนั่นก็คือแค่ 45 นาที (จากที่ทีแรกบอกให้เราเตรียมมา 1:30ชม) เราก็เลยเครียดว่า อ้าว งี้ก็พูดไม่หมดน่ะสิ ไปๆมาๆ เค้าเลยบอกว่า งั้นขอเลื่อนเวลาให้เป็น 12:00 ละกัน มีเวลาเต็มที่ 1 ชม.

Present งานผ่านไปจนถึงเที่ยงตรง พิธีกรสาวสวยเดินมาอยู่ข้างเวที เตรียมปิดงาน เราก็เอาล่ะหว่า ยังไม่จบเลย แถมคนที่ฟังเราก็ดูยังมีท่าทีอยากฟังอยู่เรื่อยๆ แต่ว่าทำงัยได้ เวลาหมดแล้ว

ผมเลยต้องพูดไปว่าเวลาหมด แล้วก็ต้องรีบตัดบทออกไป ก็เป็นอันว่าจบงาน

เลิกงานมีคนเข้ามาคุย ถามรายละเอียดกันพอสมควร สนุกดี น้องตูนนี่ก็คุยไม่ยั้ง ไหนจะคุณอูมัวแต่ตอบคำถามเพลิน computer ไม่คิดจะเก็บกัน มีคนมาถามด้วยว่า "จะไปพูดที่ไหนอีกรึเปล่า จะได้ตามไปฟัง" โห ..​ขนาดนั้นเลย มีหลายคนเสียดายที่ดูได้ไม่จบ..​โห เว่อร์จริงๆ ดีใจ เอาเหอะ ถ้าเราทำได้ดีจริงๆ ปีหน้าคงจะได้มาใหม่

เที่ยง ทาง Apple เลี้ยงข้าว (ทุกคน) กินกันอย่างเมามันส์ คุณบอล กะคุณนอนี่ ท่าทางจะวางช้อนยาก ส่วนน้องแอนไม่ได้กินเยอะเพราะมัวแต่ห่วงสวย :-)

กลับมาถึง office กันประมาณบ่าย 2 กว่าๆ งานนี้เกนคนไปทั้ง office (อย่างทีบอกทีแรกว่า กลัวจะมีคนเข้างาน 20 คน เลยกะว่ามีของเราไปอีกน่าจะพอเพิ่ม rating ได้บ้าง) รีบเอารูปมา load เข้า com ก็ได้ภาพออกมาประมาณนี้..

สุดท้่ายนี้ขอขอบคุณทีมงาน rgb72 ทุกคนที่มาร่วมในประวัติศาสตร์ ทำให้วันนี้ฉลุยมากๆ ตั้งแต่ Presentation, คนที่มานั่งฟังซ้อม presentation, showreel, website rgb72 v.2008, และคนช่วย jam ทำเว็บไซต์ rgb72

และที่ขาดไม่ได้เลยคือน้อง Photon นะคับ thank you








วันอาทิตย์ที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

ย่อขยายภาพแบบใหม่ ไม่เอาอัตราส่วน เอาความสำคัญของภาพแทน

ที่ทาง SIGGRAPH2007 ที่ผ่านมา ล่าสุดได้มีการแสดงผลงานการทดลองของ 2 นักวิทยาศาสตร์ Shai Avidan และ Ariel Shamir ในประเด็นของการย่อรูปภาพให้มีขนาดเล็กลง โดยแทนที่จะย่อรูป ซึ่งใช้การ scale อัตราส่วนแบบเดิมๆ คราวนี้ เค้าวัดเอาจุดความสำคัญของรูปมาก่อน (Energy function) จากนั้น ทำการย่อโดยการพับเก็บส่วนที่สำคัญน้อยกว่า จากบนลงล่าง และจากซ้ายไปขวา ของจุดสำคัญดังกล่าว ทำให้ภาพถูกย่อหายไปนั้น ไม่ถูกบั่นทอนจุดที่สำคัญใดๆ ออกไป

อ่านแล้วงง ลองดู video จาก YouTube ด้านล่างนี่ดูนะครับ หรือจะเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Ariel Shamir เลยก็ได้ที่ http://www.faculty.idc.ac.il/arik ครับ

วันอาทิตย์ที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

อันดับ 9 Health Care by Cell Phone // 10 อย่างที่กำลังจะมาในอนาคต : What's Next : Future Vision



จะดีแค่ไหนหากมือถือที่มีกล้องติดมาด้วยจะช่วยให้ครอบครัวเรามีสุขภาพดีได้ บริษัทหนึ่งในแคนนาดาบอกว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ ไม่มีปัญหา จริงๆแล้วบริการใหม่ตรงนี้ได้เริ่มขึ้นแล้วด้วยซ้ำ ชื่อว่า MyFoodPhone

การทำงานคือ ให้ user ถ่ายรูปอาหารที่ตัวเองกินในแต่ละมื้อและส่งมาให้ทางทีมวิเคราะห์สารอาหารเพื่อดูว่า ในวันหนึ่งๆ สิ่งที่เราได้รับไปนั้นเป็นประโยชน์ต่อร่างกายหรือไม่อย่างไร

Doctorphone และ Babyphone คือ 2 บริการที่เริ่มเปิดให้ใช้แล้ว ซึ่งทั้ง 2 บริการนี้ มีระบบที่สามารถให้คนไข้และหมอสามารถคุยกันได้ผ่านระบบ video conference โดยใช้มือถือ

Myca คือผู้เริ่มบุกเบิกตรงนี้ จะเก็บค่าบริการเพียง 10 เหรียญต่อเดือน โดยสิ่งที่ user จะได้รับก็คือ ทุกๆ 2 อาทิตย์ จะมี video ส่งมาทาง email แนะนำการกินอาหารโดยใช้พื้นฐานจากภาพถ่ายที่ user ได้ถ่ายไปให้ ซึ่งนับตั้งแต่วันที่เปิดตัวบริการเมื่อ พฤษภาคม 2006 ที่ผ่านมา จำนวนลูกค้าที่ใช้งานมีแล้วถึง 5,000 ราย อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริการที่ว่ามานี้ยังอยู่ในช่วงทดลอง และปรับปรุงอะไรต่างๆให้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ในอนาคตเราอาจจะสามารถส่งผลอุณหภูมิภายในร่างกาย, จังหวะการเต้นของหัวใจ (heart rate) ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้เราสามารถที่จะคุยกับ หมอ หรือพยาบาลที่เป็น freelance (ในโครงการนี้) เพื่อรับคำแนะนำต่างๆได้ ส่วนเรื่องข้อมูลทั้งหมดไม่ต้องห่วง ทุกอย่างที่เรา report ไปจะถูกเก็บลง database ทั้งหมด

Trend เรื่องการเก็บและส่งข้อมูลด้านสุขภาพนี้ท่าทางจะมาแรง เพราะว่าขณะนี้ Motorola กำลังสุ่มผลิตมือถือที่สามารถวัดค่าต่างๆในร่างกายของเราได้ด้วย ส่วน google เองนั้นก็มีระบบจัดเก็บข้อมูลด้านสุขภาพของเราไว้บน server google ด้วย ซึ่งตรงนี้ไม่แน่ใจว่า ต่อไป หมอ และโรงพยาบาลจะต้องใช้ google เป็น center ในการเก็บ และ ดึงข้อมูลของคนไข้รึเปล่า

อันดับ 10 Agriculture in the Sky // 10 อย่างที่กำลังจะมาในอนาคต : What's Next : Future Vision

(ข้อมูลทั้งหมดในหัวข้อนี้ได้นำมาจากหนังสือ Business 2.0 เดือนกันยายน 2007)



ในขณะที่ประชากรบนโลกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการทำการเกษตรแบบเดิมๆ อาจจะไม่ได้ผล หรืออาจจะเรียกได้ว่าผลผลิตนั้นออกมาได้ช้าเกินกว่าความต้องการของมนุษย์

Dickson Despommier เป็นอาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลับโคลัมเบียสหรัฐอเมริกาได้คิดขึ้นมากว่า เราสามารถสร้างฟาร์ม และไร่ปลูกพืชผักบนตึกสูงระฟ้า เหมือนๆกันกับที่ปัจจุบันเราสร้างตึกสำหรับ office นั่นแหละ และการสร้างตึก 21 ชั้นสำหรับการทำไร่ จะทำให้เรามีพื้นที่กว่า 588 เอเคอร์ ซึ่งสามารถปลูกกะหล่ำปลีได้ประมาณ 12 ล้านหัวต่อปี

ด้วยจำนวนผู้บริโภคบนโลกที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 3 พันล้านคนภายในปี 2050 และจำนวนพื้นที่ในการทำเกษตรกรรมนั้นแทบจะถูกใช้ไปหมดแล้วนั้น ทำให้มองเห็นได้ว่า การทำตึกเพื่อการเกษตรนั้นน่าจะจำเป็นจริงๆ Despommier จึงได้ไปพูดที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียถึงความเป็นไปได้ในการใช้พลังแสงอาทิตย์ในการสร้างแสงไฟ 24 ชม. และยังสามารถใช้เทคโนโลยีของ NASA ในการจับเอาความชื้นของน้ำมาใช้ประโยชน์ได้
"เราต้องการความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อความสำเร็จในการสร้างตึกเพื่อการเกษตรนี้ เหมือนๆกับช่วงแรกที่เราทำกับการไปดวงจันทร์" Despommier บอกต่อว่า "มันจะทำให้โลกนี้เลิกกังวลได้ว่า อาหารมื้อหน้าของเราจะมาจากไหน"

นอกจากนี้ ตึกเพื่อการเกษตรนี้ยังสามารถสร้างผลกำไรได้อีกด้วย จากการคำนวนโดยคร่าวๆ คาดการณ์ว่า เราจะต้องใช้เงินในการสร้างตึก 21 ชั้นประมาณ 84ล้านเหรียญ เงินค่าการปฏิบัติการและดำเนินงานประมาณ 5 ล้านเหรียญต่อปี ส่วนกำไรนั้น น่าจะได้ประมาณ 18ล้านเหรียญต่อปี ถึงแม้ว่าการปลูกพืชผักแบบนี้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ว่าค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในการทำการเกษตรนั้น อยู่ที่ค่าขนส่ง ดังนั้นมันจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายลงมากๆ เมื่อร้านจำหน่ายของเราอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่แยกไฟแดง

ไอเดียนี้ได้รับความสนใจมากๆ จากหลายๆ บริษัทอาหารใหญ่ๆ ในอเมริการเช่น Coke, McDonald's, Kraft, และ Nestle หรือแม้กระทั่ง IBM. อย่างไรก็ตาม Kristin Reynolds, program representative ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียบอกว่า เธอเป็นห่วงอยู่เรื่องเดียวในการทำตึกเกษตรกรรมแห่งนี้ก็คือ "ตึกนี้อาจจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และ ยิ่งใหญ่มากๆ ซึ่งเราจะต้องคอยดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านการแย่งตลาดจากเกษตรกรรายย่อย"