วันศุกร์ที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓
ย้ายไป blog72.net
หลังจากที่ blog72 ได้อยู่ภายใต้ blogger ของ google มานาน บัดนี้ได้เวลาขยับขยาย เราเลยตัดสินใจย้าย blog72.net ซึ่งอยู่บน server ของเราเองที่ s72 โดยใช้ wordpress เป็น engine ทั้งนี้เพื่อความสามารถในการขยับขยายในแง่ content และ interactive ที่เราคิดว่าอยากจะให้มีมากขึ้นใน blog72 และอยากให้ blog72 เป็นสถานที่สำหรับกลุ่มคนพัฒนาเว็บไซต์ได้อย่างดีที่หนึ่ง ว่าแล้ว.. กดที่นี่เลยครับ blog72.net
วันอังคารที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓
Business Week เปรียบเทียบ Google vs Apple
Business Week เล่มล่าสุด (January 25, 2010) พูดถึงเรื่องของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley นั่นคือ Apple และ Google และในบทความนี้มีตารางเปรียบเทียบความเหมือนที่แตกต่าง (The Same, but Different) ระหว่างสองบริษัทนี้ เห็นว่าคนสรุปเค้าเก่งดี เลยลองเอามาให้ดูกัน (เรียงลำดับการเปรียเทียบโดยให้ Google อยุ่ทางด้านหน้าเหมือนในตาราง : Google / Apple)
Date Founded: 1998 / 1976
อันนี้แน่นอน Apple เกิดก่อนนานมากๆ แตกต่างจาก Google ที่เพิ่งเกิด แต่ก็มาแรงอย่างที่เราทุกคนรู้กันอยู่
CEOs: Eric Schmidt / Steve Jobs
สอง CEO นี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนที่ติดตามผลงานของ Google และ Apple และทั้งสองคนนี้ก็ได้รับทั้งคำชมและคำวิจารณ์ต่างๆนานา (โดยเฉพาะ Steve Jobs ที่โดนวิจารณ์ว่าเป็น CEO สุดโหด)
CEO salary: $1 a year / $1 a year
เงินเดือนของ CEO ทั้งสองอยู่ที่จำนวนเท่ากันนั่นคือ 1 เหรียญดอลล่าห์ต่อปี ผมเพิ่งจะรู้เหมือนกันว่า Eric Schmidt ก็รับ 1 เหรียญ แต่ก่อนมี Steve Jobs ที่รับเงิน 1 เหรียญต่อปี ซึ่งได้ขึ้นหิ้งไปว่าเป็น CEO ที่เงินเดือนน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม Steve Jobs เองก็ไม่ได้จนหรอกนะ เพราะแค่หุ้นที่ถืออยู่ใน Apple เทียบเป็นมูลค่าก็ได้แล้วประมาณ 1.1พันล้านดอลล่าห์ (38,500ล้านบาท) นอกจากนี้ Steve Jobs ยังเป็นคนที่ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ Disney อีกด้วย คือมีหุ้นอยู่ 74% เทียบเป็นเงินได้ 4,500ล้านดอลล่าห์ (157,500ล้านบาท) เท่านี้ก็เรียกว่าใช้เงินชาตินี้ยังงัยก็ไม่หมด การได้รับเงิน 1 เหรียญต่อปี คงไม่ใช่สาระอะไรสำคัญกับ CEO ของสองบริษัทยักษ์ใหญ่นี้อย่างแน่นอน
**ข้อมูลตัวเลขจาก คม-ชัด-ลึก**
Headquaters: The Googleplex, Mountain view / Infinite Loop campus, Cupertino
สอง location ที่ไม่ได้อยู่ไกลกันมาก ที่หนึ่งโด่งดังเรื่องการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ มีแรงบันดาลใจและพลังในการสร้างสิ่งดีดี อีกที่เป็นบริษัทที่มีชื่อถนนสุดเท่ห์ แต่เต็มไปด้วยความลับภายในองค์กร ล่าสุดมีข่าวว่า Apple พยายามหา location ในการสร้าง office ใหม่ เนื่องจากตอนนี้มีคนอยู่เยอะมากๆจนจำเป็นต้องเช่าพื้นที่ตึกที่อื่นเพื่อเป็นสำนักงาน
Market cap: $186 billion / $190 billion
Revenue: $22.6 billion / 36.5 billion
ตัวเลขที่สองนี้แสดงได้ถึงความยิ่งใหญ่อลังการของทั้งสองบริษัท แม้ว่า Google จะมีตัวเลขที่ต่ำกว่า Apple ก็ตาม แต่ถ้าเทียบกับอายุของบริษัทแล้ว Google คือบริษัทที่กำลังมาแรงแทบจะหยุดไม่อยู่
Motto: "Don't be evil" / "Think Different"
สองคำประจำของสองบริษัทที่ทุกคนรู้จักกันดี ขณะที่ Google พยายามจะทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองไม่เป็นผู้ร้ายในสายตาคนอื่นๆ แต่ Apple ก็พยายามที่จะคิดหาสิ่งที่แตกต่างอยู่ตลอดเวลา
Key to success: Algorithm / Elegance
หนทางสู่ความสำเร็จของ Google คือหลักการคิด การวิเคราะห์และแยกแยะวิธีการทำงานให้เป็นขั้นเป็นตอน หลักๆคือเป็นเรื่องของแนวความคิดในเชิง programming ในขณะที่ Apple นั้นจะมุ่งไปที่การสร้างความยิ่งใหญ่ ความเจ๋ง เก่ง เท่ และสวยหรู
Work ethic: 20% of employees' time for pet projects / 120% of employees' time for Steve's projects
ลักษณะของการทำงาน สิ่งที่โด่งดังมากอย่างหนึ่งของ Google ก็คือการให้เวลาพนง. 20% ของเวลางานเพื่อสร้างสรรค์งานที่เป็นความคิดอิสระของตนเอง และหลายๆงานเ่่ช่น Google Wave ก็ออกมาจาก 20% ของเวลางานนี้เช่นกัน ในขณะที่ Apple นั้นพุ่งเป้าไปที่การทำงานอย่างบ้าระห่ำ ทำงานเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ได้ผลงานที่ Steve Jobs ต้องการเท่านั้น!
The employees who matter: Engineers / Designers
พนักงานที่มีความสำคัญต่อองค์กร แน่นอน.. สำหรับ Google ก็คือเหล่า engineer กลุ่มคนเขียน program ต่างๆ แต่สำหรับ Apple นั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างนักก็คือ Design และปัจจุบัน designer เอกของ Apple อย่าง Jonathan Ive ก็เป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดของ Apple ด้วยเช่นกัน
How decisions get made: Data, data, data / Because Steve says so
การตัดสินใจในการจะลงมือทำอะไรซักอย่างในองค์กร สิ่งที่เป็นปัจจัยสูงสุดสำหรับ Google ก็คือข้อมูลต่างๆที่ได้เก็บรวมรวมมา เหล่าสถิติและตัวเลขทั้งหลายที่จะบอกได้ถึง trend และความน่าจะเป็นที่สามารถพาองค์กรพัฒนาและต่อยอดไปได้ แต่สำหรับ Apple นั้น การตัดสินใจอยู่ทีความคิดของ Steve Jobs แต่เพียงผู้เดียว
Founders' aircraft: Boeing 767 / Gulfstream V
เครื่องบินส่วนตัวของ CEO ทั้งสองบริษัท สำหรับ Google นั้น Eric Schmidt ใช้ Boeing 767 ส่วน Steve Jobs นั้นใช้ Gulfstream V ราคา 90ล้าน ดอลล่าห์ ซึ่งได้รับจากคณะผู้บริหารเมื่อปี 1999
Big challenge: Can they make money on anything but search? / Does anyone but Jobs have a vision?
ส่วนสุดท้ายนี่สำคัญครับ เป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับสิ่งที่ท้าทายสำหรับสองบริษัทนี้ สำหรับ Google ก็คือ Google จะสามารถหารายได้เข้าบริษัทได้จากทางอื่นๆอีกหรือไม่นอกจากการทำ Search Engine ส่วน Apple นั้นคือ จะมีใครไหมที่มีมุมมองและความคิดที่ชาญฉลาดได้แบบ Steve Jobs อีกแล้ว และนี่เป็นเรื่องที่กล่าวขวัญกันมาตลอดว่าเหตุที่ Apple สามารถผลิตสินค้าออกมาได้เป็นอย่างดีนั้นเป็นเพราะความสามารถของ Steve Jobs ทั้งสิ้น ที่สามารถมองเห็นอนาคต มองเห็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ แต่ว่าถ้าไม่มี Steve Jobs ล่ะ.. ใครจะเป็นคนมาทำต่อ??
REF: Businessweek : http://www.businessweek.com/magazine/toc/10_04/B4164magazine.htm
วันจันทร์ที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓
Japanese Design
ไปญี่ปุ่นในช่วงหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา ได้เก็บเกี่ยวภาพและงาน design ที่ได้เห็นจากญี่ปุ่นมากมาย วันนี้เลยถือโอกาสเอามาให้ได้ดูกัน
ในแต่ละประเทศ จะมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง จีน อเมริกา อังกฤษ ไทย และแน่นอน ญี่ปุ่น
สิ่งที่สังเกตได้จากการได้มอง design ของญี่ปุ่นผ่านสินค้ายี่ห้อต่างๆที่โด่งดังเช่น Muji หรือ UNIQLO ทำให้พอเข้าใจได้ว่า design ของญี่ปุ่นนั้นมักจะมีความเรียบง่าย (Simplicity) สะอาดและสวยงาม และแน่นอนต้องสามารถใช้งานได้อย่างดีที่สุดด้วย
หนึ่งในงาน design ที่ได้ไปดูนั้นเป็นการไปชม museum ของ Toyota ที่ชื่อว่า Mega Web
ที่ Mega Web จะแบ่งออกเป็น 3 ตึก 3 ส่วนคือ
หนึ่งส่วนที่แสดงรถยนต์รุ่นล่าสุดและรถยนต์แห่งอนาคตของ Toyota พูดง่ายๆคือเหมือน Toyota จัดงาน Motorshow ของตัวเองตลอดปี ในตึกความสูง 2 ชั้น แห่งนี้จะมีรถยนต์ของ Toyota และ Lexus ไว้แสดงให้คนได้ทดลองนั่ง สามารถลองเปิดปิดรถยนต์ กดปุ่มทุกปุ่มได้ไม่ยั้ง ที่ชอบมากๆ ก็คือพนง.ของ Toyota ไม่มีมายุ่งวุ่นวายหรือทำท่าทางหวงของแต่อย่างใด เห็นมีเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งเข้าไปใน Lexus IS450 แล้วไปกระทืบคันเร่งแรงๆ ทางพนง.ก็ยังไม่ว่าอะไรเลย นอกจากประโยชน์ในด้านการได้ทดลองนั่งแล้ว สิ่งที่เห็นอีกอย่างคือ การให้เด็กได้มีประสบการณ์ในการทดลองรถยนต์จริงๆแบบไม่ต้องกลัวโดนผู้ใหญ่ว่า มันน่าจะทำให้เด็กกล้าที่จะลอง กล้าที่จะทำ ได้อย่างไม่ต้องกลัวใครต่อไป
ที่ชั้นล่าง มีโซนที่ให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการขับรถแข่งด้วยเครื่อง simulator ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วดูเหมือนเครื่องเล่นเกมตู้ยังงัยยังงั้น แถมตอนเริ่มเกมมี logo เกม Granturismo ขึ้นมาอีกก็เข้าใจได้ว่า คงเอาเกมมาให้ได้ลองเล่นขำขำน่ะ แต่เอาเหอะ ที่นี่ ทุกอย่างฟรี
และเนื่องด้วยการให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน อย่างที่เราพอจะรู้ว่ารถยนต์ระดับแนวหน้าทุกยี่ห้อก็พยายามจะที่เน้นในเรื่องของ Green Product และแน่นอน Toyota ก็ไม่พลาดเรื่องนี้เช่นกัน
สิ่งที่ Toyota มีในปัจจุบันก็คือรถยนต์ Hybrid รุ่น Prius (พรีอุส) ที่ใช้ระบบการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ที่ตึก Mega Web นี้ สิ่งที่เป็น highlight สำคัญของที่นี่อีกอย่างก็คือการได้ทดลองนั่งรถที่เป็น Green จริงๆ คือรถพลังงานไฟฟ้าล้วน
การจะได้ทดลองนั่งนั้นเราต้องไปต่อคิว และรถจะวิ่งมาจอดเพื่อให้เราได้เข้าไปนั่งกัน
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นการทดลองนั่ง ไม่ใช่ทดลองขับ รถไฟฟ้าที่ว่าจะเคลื่อนที่ไปตามทางโดยอัตโนมัติ ส่วนเราก็ทำหน้าที่นั่งเฉยๆ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการให้รถขับเคลื่อนไปได้นั้น เค้าจะให้มีจุดที่ถนน เป็นจุดที่จะบอกรถยนต์ว่าให้วิ่งไปทางไหน โดยที่ตัวรถจะมีเครื่องที่คอยอ่านจุดต่างๆนั้น
ตัวเทคโนโลยีนี้ผมเคยเห็นทดลองกันครั้งแรกสมัยที่อยู่อเมริกา เค้าทดลองให้รถสามารถขับเองได้โดยการให้รถมีเครื่องตรวจจับเซนเซอร์แบบนี้ แล้วก็ให้วิ่งไปตามจุด ซึ่งก็คาดหวังกันว่าอยากให้รถยนต์ในอนาคตมีเครื่องเซนเซอร์แบบนี้กันทุกคัน จากนั้นเค้าจะใช้ระบบอัตโนมัติแบบนี้กับการเดินทางระยะไกลที่มีเส้นทางที่แน่นอน เช่นจากรัฐอาริโซน่า ไปยัง แคลิฟอร์เนีย ที่มีเส้นทางหลักเป็นทางหลวงเส้นเดียว และใช้ระยะเวลาในการเดินทาง 6ชั่วโมง ข้อดีก็คือ เมื่อเราเข้าสู่เส้นทางนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องขับรถอีกต่อไป แค่นั่งไปเรื่อยๆ จะนั่งคุยกัน จะนั่งเล่นเกม เล่นไพ่ ก็ตามสบาย แถมคนขับยังจะหันมาเล่นด้วยได้อีก ที่สำคัญถ้าคนขับจะหลับในก็สามารถทำได้ และหากถึงที่หมายแล้ว ก็สามารถขับรถออกมาจากเลนที่มีเครื่องเซนเซอร์นี้ รถก็จะเป็นอิสระ
อาคารส่วนที่สองคือ History of Toyota หรือประวัติศาสตร์รถยนต์ของ Toyota นั่นเอง ผมไม่ได้เข้าไปดูที่นี่นะครับ เพราะเข้าใจว่าเป็นการแสดงรถโบราณเก่าๆของ Toyota เลยตัดสินใจเดินไปอาคารที่สามดีกว่า
อาคารที่สามนี่น่าสนใจมาก เพราะในนี้จะแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการออกแบบโดยเฉพาะ และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกับรถยนต์เท่านั้นแต่จะเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆที่มีการออกแบบที่เรียกว่า Universal Design
Universal Design ก็คือการออกแบบเข้าของเครื่องใช้ต่างๆ ทั้งนี้เพื่อเน้าการใช้งานที่ง่ายและสะดวกสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เป็นสำคัญ
งานหลายๆชิ้นที่นำมาแสดงก็เป็นงาน redesign ลองดูจากภาพ
งานแรกนี้คือ จานกินข้าว จานทางด้านซ้ายคือจานปกติที่กินกันอยู่ หากเราเอาช้อนมาตักขนมที่อยู่จานจะไม่สามารถตักได้ เพราะว่าขนมจะล้นออกมาทางด้านข้าง นอกจากจะต้องใช้ส้อมเป็นตัวช่วย แต่จานทางด้านขวาซึ่งมีการออกแบบใหม่ โดยการเพิ่มขอบจานเข้ามาเท่านั้น ก็จะทำให้สามารถตักขนมได้โดยไม่หก
งานที่สองคือ กรรไกรตัดกระดาษ ที่มีส่วนของพลาสติกเข้ามาช่วยให้ไม่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก และที่ดีไปกว่านั้นคือเมื่อไม่ต้องการใช้งานแล้ว สามารถบีบส่วนของที่จับสองข้างเข้าหากันเพื่อทำการเก็บล็อคใบมีดภายในให้ไม่เปิดค้างไว้ตลอดเวลา
งานที่สามคือแม่เหล็กติดกระดาน ของเดิมจะเป็นแบบที่เห็นทางด้านซ้ายมือ แต่ของใหม่คือทางด้านขวาที่มีลักษณะเป็นยางสามารถบีบเข้าหากันได้ โดยในคำอธิบายได้บอกว่า เป็นตัวแม่เหล็กที่ช่วยลดการใช้พลังงานของเราเวลาแกะแม่เหล็กออก จากเดิมที่ต้องใช้พลัง (ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้มาก) ดึงแม่เหล็กออกจากกระดาน แต่คราวนี้แค่เราบีบตัวแม่เหล็กนี้ทำให้ไม่ต้องใช้พลังในการดึงออกอีกต่อไป นอกจากนี้ตัวแม่เหล็กยังทำด้วยยางที่มีลักษณะนุ่ม ทำให้รู้สึกนุ่มมือเมื่อบีบอีกด้วย
งานที่สี่คือการออกแบบภาชนะใส่น้ำซอสของญี่ปุ่น จากเดิมที่เป็นภาชนะเหลี่ยมๆธรรมดา คราวนี้ก็ทำให้เป็นรูปร่าง พอเราใส่น้ำซอสลงไปแล้วก็จะเห็นรูปร่างปรากฎชัดเจนขึ้น ทำให้ดูสวยงามน่าสนใจ (ไม่แน่ใจว่าแบบนี้เมืองไทยก็มีแล้วรึเปล่า เห็นเหมือนคุ้นๆ)
งานที่ห้า เห็นแล้ว งง ว่าคืออะไร แต่พออ่านคำอธิบายก็รู้ว่า นี่คือที่จับหม้อหรือภาชนะที่มีความร้อนนั่นเอง ออกแบบง่ายๆ ใช้ง่ายๆ ไม่ต้องใส่ถุงมือขนาดใหญ่ที่ทำด้วยผ้าแล้วเวลาจับก็กลัวจะหลุดมืออีก อันนี้ง่ายๆ เล็กๆ แต่เหนียวหนึบเพราะวัสดุที่ใช้นั้นเป็นยาง
งานที่หกคือปลั้ก ปลั๊กตัวนี้ผมเห็นขายแล้วในเมืองไทยที่ร้าน iStudio ราคาแพงใช้ได้ หลักการก็คือ เมื่อเราเสียบปลั๊กไปแล้ว บางทีมันยากที่จะดึงออก ก็ให้กดที่พลาสติกสีส้มนี้ ปลั๊กก็จะเด้งหลุดออกมาอย่างง่ายดาย หรือแบบที่สองก็เช่นกัน บีบที่ตัวสีส้มทั้งสองด้าน แล้วปลั๊กก็จะหลุดออกมา สองตัวนี้ต่างกันที่ ตัวแรกจะใช้งานที่เต้ารับ ส่วนอีกตัวจะใช้งานที่ตัวปลั๊กเสียบเองเลย
ตัวสุดท้ายนี่ชอบมาก เห็นทีแรกก็งงเช่นเคย จริงๆแล้วมันคืออุปกรณ์ช่วยในการถือถุงพลาสติก เวลาเราไปเดินตลาดแล้วซื้อของก็จะได้ถุงพลาสติกใส่ของมา ซื้อหนึ่งร้านหนึ่งถุง ซื้อห้าร้านห้าถุง เรื่องถุงนี่ไม่เท่าไร่ แต่เรื่องความหนักของมันก่อให้เกิดปัญหานั่นคือ ทำให้เราเจ็บมือ ยิ่งหนักก็ยิ่งเจ็บเหมือนมันบาดนิ้ว อุปกรณ์นี้จึงมีหน้าทีลดความเจ็บตรงนั้นด้วยการให้เราจับไว้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เอาไว้แขวนถุงพลาสติก ไอเดียการออกแบบแค่นี้ แต่ว่าเจ๋งมากๆ ช่วยลดความเจ็บมือไปได้ชะงัก
การไปญี่ปุ่นคราวนี้นอกจาก Mega web ที่ให้ความรู้และเปิดโลกแล้วนั้น อีกที่หนึ่งที่อยากจะพูดถึงก็คือการได้ไปเข้าร้าน Apple ที่ กินซ่า เป็น official Apple store ที่มีความสูง 5 ชั้น มีอะไรต่างๆที่น่าตื่นเต้นมากมาย ไว้จะมาเขียนแล้ว post ให้ได้อ่านกันอีกครั้ง
ในแต่ละประเทศ จะมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง จีน อเมริกา อังกฤษ ไทย และแน่นอน ญี่ปุ่น
สิ่งที่สังเกตได้จากการได้มอง design ของญี่ปุ่นผ่านสินค้ายี่ห้อต่างๆที่โด่งดังเช่น Muji หรือ UNIQLO ทำให้พอเข้าใจได้ว่า design ของญี่ปุ่นนั้นมักจะมีความเรียบง่าย (Simplicity) สะอาดและสวยงาม และแน่นอนต้องสามารถใช้งานได้อย่างดีที่สุดด้วย
หนึ่งในงาน design ที่ได้ไปดูนั้นเป็นการไปชม museum ของ Toyota ที่ชื่อว่า Mega Web
ที่ Mega Web จะแบ่งออกเป็น 3 ตึก 3 ส่วนคือ
หนึ่งส่วนที่แสดงรถยนต์รุ่นล่าสุดและรถยนต์แห่งอนาคตของ Toyota พูดง่ายๆคือเหมือน Toyota จัดงาน Motorshow ของตัวเองตลอดปี ในตึกความสูง 2 ชั้น แห่งนี้จะมีรถยนต์ของ Toyota และ Lexus ไว้แสดงให้คนได้ทดลองนั่ง สามารถลองเปิดปิดรถยนต์ กดปุ่มทุกปุ่มได้ไม่ยั้ง ที่ชอบมากๆ ก็คือพนง.ของ Toyota ไม่มีมายุ่งวุ่นวายหรือทำท่าทางหวงของแต่อย่างใด เห็นมีเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งเข้าไปใน Lexus IS450 แล้วไปกระทืบคันเร่งแรงๆ ทางพนง.ก็ยังไม่ว่าอะไรเลย นอกจากประโยชน์ในด้านการได้ทดลองนั่งแล้ว สิ่งที่เห็นอีกอย่างคือ การให้เด็กได้มีประสบการณ์ในการทดลองรถยนต์จริงๆแบบไม่ต้องกลัวโดนผู้ใหญ่ว่า มันน่าจะทำให้เด็กกล้าที่จะลอง กล้าที่จะทำ ได้อย่างไม่ต้องกลัวใครต่อไป
ที่ชั้นล่าง มีโซนที่ให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการขับรถแข่งด้วยเครื่อง simulator ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วดูเหมือนเครื่องเล่นเกมตู้ยังงัยยังงั้น แถมตอนเริ่มเกมมี logo เกม Granturismo ขึ้นมาอีกก็เข้าใจได้ว่า คงเอาเกมมาให้ได้ลองเล่นขำขำน่ะ แต่เอาเหอะ ที่นี่ ทุกอย่างฟรี
และเนื่องด้วยการให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน อย่างที่เราพอจะรู้ว่ารถยนต์ระดับแนวหน้าทุกยี่ห้อก็พยายามจะที่เน้นในเรื่องของ Green Product และแน่นอน Toyota ก็ไม่พลาดเรื่องนี้เช่นกัน
สิ่งที่ Toyota มีในปัจจุบันก็คือรถยนต์ Hybrid รุ่น Prius (พรีอุส) ที่ใช้ระบบการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ที่ตึก Mega Web นี้ สิ่งที่เป็น highlight สำคัญของที่นี่อีกอย่างก็คือการได้ทดลองนั่งรถที่เป็น Green จริงๆ คือรถพลังงานไฟฟ้าล้วน
การจะได้ทดลองนั่งนั้นเราต้องไปต่อคิว และรถจะวิ่งมาจอดเพื่อให้เราได้เข้าไปนั่งกัน
อย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นการทดลองนั่ง ไม่ใช่ทดลองขับ รถไฟฟ้าที่ว่าจะเคลื่อนที่ไปตามทางโดยอัตโนมัติ ส่วนเราก็ทำหน้าที่นั่งเฉยๆ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการให้รถขับเคลื่อนไปได้นั้น เค้าจะให้มีจุดที่ถนน เป็นจุดที่จะบอกรถยนต์ว่าให้วิ่งไปทางไหน โดยที่ตัวรถจะมีเครื่องที่คอยอ่านจุดต่างๆนั้น
ตัวเทคโนโลยีนี้ผมเคยเห็นทดลองกันครั้งแรกสมัยที่อยู่อเมริกา เค้าทดลองให้รถสามารถขับเองได้โดยการให้รถมีเครื่องตรวจจับเซนเซอร์แบบนี้ แล้วก็ให้วิ่งไปตามจุด ซึ่งก็คาดหวังกันว่าอยากให้รถยนต์ในอนาคตมีเครื่องเซนเซอร์แบบนี้กันทุกคัน จากนั้นเค้าจะใช้ระบบอัตโนมัติแบบนี้กับการเดินทางระยะไกลที่มีเส้นทางที่แน่นอน เช่นจากรัฐอาริโซน่า ไปยัง แคลิฟอร์เนีย ที่มีเส้นทางหลักเป็นทางหลวงเส้นเดียว และใช้ระยะเวลาในการเดินทาง 6ชั่วโมง ข้อดีก็คือ เมื่อเราเข้าสู่เส้นทางนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องขับรถอีกต่อไป แค่นั่งไปเรื่อยๆ จะนั่งคุยกัน จะนั่งเล่นเกม เล่นไพ่ ก็ตามสบาย แถมคนขับยังจะหันมาเล่นด้วยได้อีก ที่สำคัญถ้าคนขับจะหลับในก็สามารถทำได้ และหากถึงที่หมายแล้ว ก็สามารถขับรถออกมาจากเลนที่มีเครื่องเซนเซอร์นี้ รถก็จะเป็นอิสระ
อาคารส่วนที่สองคือ History of Toyota หรือประวัติศาสตร์รถยนต์ของ Toyota นั่นเอง ผมไม่ได้เข้าไปดูที่นี่นะครับ เพราะเข้าใจว่าเป็นการแสดงรถโบราณเก่าๆของ Toyota เลยตัดสินใจเดินไปอาคารที่สามดีกว่า
อาคารที่สามนี่น่าสนใจมาก เพราะในนี้จะแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการออกแบบโดยเฉพาะ และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกับรถยนต์เท่านั้นแต่จะเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆที่มีการออกแบบที่เรียกว่า Universal Design
Universal Design ก็คือการออกแบบเข้าของเครื่องใช้ต่างๆ ทั้งนี้เพื่อเน้าการใช้งานที่ง่ายและสะดวกสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เป็นสำคัญ
งานหลายๆชิ้นที่นำมาแสดงก็เป็นงาน redesign ลองดูจากภาพ
งานแรกนี้คือ จานกินข้าว จานทางด้านซ้ายคือจานปกติที่กินกันอยู่ หากเราเอาช้อนมาตักขนมที่อยู่จานจะไม่สามารถตักได้ เพราะว่าขนมจะล้นออกมาทางด้านข้าง นอกจากจะต้องใช้ส้อมเป็นตัวช่วย แต่จานทางด้านขวาซึ่งมีการออกแบบใหม่ โดยการเพิ่มขอบจานเข้ามาเท่านั้น ก็จะทำให้สามารถตักขนมได้โดยไม่หก
งานที่สองคือ กรรไกรตัดกระดาษ ที่มีส่วนของพลาสติกเข้ามาช่วยให้ไม่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก และที่ดีไปกว่านั้นคือเมื่อไม่ต้องการใช้งานแล้ว สามารถบีบส่วนของที่จับสองข้างเข้าหากันเพื่อทำการเก็บล็อคใบมีดภายในให้ไม่เปิดค้างไว้ตลอดเวลา
งานที่สามคือแม่เหล็กติดกระดาน ของเดิมจะเป็นแบบที่เห็นทางด้านซ้ายมือ แต่ของใหม่คือทางด้านขวาที่มีลักษณะเป็นยางสามารถบีบเข้าหากันได้ โดยในคำอธิบายได้บอกว่า เป็นตัวแม่เหล็กที่ช่วยลดการใช้พลังงานของเราเวลาแกะแม่เหล็กออก จากเดิมที่ต้องใช้พลัง (ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้มาก) ดึงแม่เหล็กออกจากกระดาน แต่คราวนี้แค่เราบีบตัวแม่เหล็กนี้ทำให้ไม่ต้องใช้พลังในการดึงออกอีกต่อไป นอกจากนี้ตัวแม่เหล็กยังทำด้วยยางที่มีลักษณะนุ่ม ทำให้รู้สึกนุ่มมือเมื่อบีบอีกด้วย
งานที่สี่คือการออกแบบภาชนะใส่น้ำซอสของญี่ปุ่น จากเดิมที่เป็นภาชนะเหลี่ยมๆธรรมดา คราวนี้ก็ทำให้เป็นรูปร่าง พอเราใส่น้ำซอสลงไปแล้วก็จะเห็นรูปร่างปรากฎชัดเจนขึ้น ทำให้ดูสวยงามน่าสนใจ (ไม่แน่ใจว่าแบบนี้เมืองไทยก็มีแล้วรึเปล่า เห็นเหมือนคุ้นๆ)
งานที่ห้า เห็นแล้ว งง ว่าคืออะไร แต่พออ่านคำอธิบายก็รู้ว่า นี่คือที่จับหม้อหรือภาชนะที่มีความร้อนนั่นเอง ออกแบบง่ายๆ ใช้ง่ายๆ ไม่ต้องใส่ถุงมือขนาดใหญ่ที่ทำด้วยผ้าแล้วเวลาจับก็กลัวจะหลุดมืออีก อันนี้ง่ายๆ เล็กๆ แต่เหนียวหนึบเพราะวัสดุที่ใช้นั้นเป็นยาง
งานที่หกคือปลั้ก ปลั๊กตัวนี้ผมเห็นขายแล้วในเมืองไทยที่ร้าน iStudio ราคาแพงใช้ได้ หลักการก็คือ เมื่อเราเสียบปลั๊กไปแล้ว บางทีมันยากที่จะดึงออก ก็ให้กดที่พลาสติกสีส้มนี้ ปลั๊กก็จะเด้งหลุดออกมาอย่างง่ายดาย หรือแบบที่สองก็เช่นกัน บีบที่ตัวสีส้มทั้งสองด้าน แล้วปลั๊กก็จะหลุดออกมา สองตัวนี้ต่างกันที่ ตัวแรกจะใช้งานที่เต้ารับ ส่วนอีกตัวจะใช้งานที่ตัวปลั๊กเสียบเองเลย
ตัวสุดท้ายนี่ชอบมาก เห็นทีแรกก็งงเช่นเคย จริงๆแล้วมันคืออุปกรณ์ช่วยในการถือถุงพลาสติก เวลาเราไปเดินตลาดแล้วซื้อของก็จะได้ถุงพลาสติกใส่ของมา ซื้อหนึ่งร้านหนึ่งถุง ซื้อห้าร้านห้าถุง เรื่องถุงนี่ไม่เท่าไร่ แต่เรื่องความหนักของมันก่อให้เกิดปัญหานั่นคือ ทำให้เราเจ็บมือ ยิ่งหนักก็ยิ่งเจ็บเหมือนมันบาดนิ้ว อุปกรณ์นี้จึงมีหน้าทีลดความเจ็บตรงนั้นด้วยการให้เราจับไว้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เอาไว้แขวนถุงพลาสติก ไอเดียการออกแบบแค่นี้ แต่ว่าเจ๋งมากๆ ช่วยลดความเจ็บมือไปได้ชะงัก
การไปญี่ปุ่นคราวนี้นอกจาก Mega web ที่ให้ความรู้และเปิดโลกแล้วนั้น อีกที่หนึ่งที่อยากจะพูดถึงก็คือการได้ไปเข้าร้าน Apple ที่ กินซ่า เป็น official Apple store ที่มีความสูง 5 ชั้น มีอะไรต่างๆที่น่าตื่นเต้นมากมาย ไว้จะมาเขียนแล้ว post ให้ได้อ่านกันอีกครั้ง
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓
CES 2010
ช่วงนี้มีงาน show ที่ถือว่าเป็นสุดยอดงานหนึ่งนั่นคืองาน CES (Consumer Electronics Show) 2010 โดยงานนี้เหล่าบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ electronics ต่างจะงัดเอาความเป็นที่สุดใน technology ของตนเองออกมาโชว์ เรียกง่ายๆว่าเหมือนงาน Motorshow ยังงัยอย่างนั้น
งาน CES 2010 จัดขึ้นที่ Las Vegas และในปีนี้ก็เหมือนเช่นเคย คือมี technology update เยอะแยะมากมาย ซึ่งจะขอยกเอา hilight มาบอกละกันครับ
1. จอ Plasma 3D ถือว่าเป็นเรื่องที่ hot มากที่สุดเรื่องหนึ่งในงานนี้ คือจอสามมิติ สำหรับใช้ในบ้าน โดยเหล่าบริษัทผลิตจอชั้นนำไม่ว่าจะเป็น Samsung, Sony, Panasonic ต่างไม่พลาด technology สำคัญที่เอามาอวดกันอย่างเต็มๆตาในงาน นอกจาก 3D แล้ว เหล่าผู้ผลิตก็พากันออกจอที่เป็น Full HD และงานนี้ Panasonic VT-25 ยังได้รับรางวัล Best of the Show อีกด้วย
2. Wireless technology ตอนนี้อะไรๆก็ต้องไร้สาย ล่าสุดต่อไปนี้เวลาเราจะต่อสัญญาณภาพออกจาก laptop เข้า projector หรือ LCD TV ไม่จำเป็นต้องใช้สายไฟให้ยุ่งยากอีกต่อไป ด้วย NETGEAR's Push2TV ที่เค้าเรียกว่าเป็น The First WI-FI Direct Enabled Device จะทำหน้าที่เชื่อมต่อสัญญาณภาพผ่าน WIFI (อ่านเพิมเติมได้จากที่นี่ http://ces.cnet.com/8301-31045_1-10428971-269.html?tag=mncol;title)
นอกจากนี้ ระบบ Home Theatre ก็ยังเป็นระบบไร้สาย ไม่ว่าจะเป็น Samsung หรือ LG ต่างก็เปิดตัว Home Theater ที่ไม่สายเชื่อต่อกับลำโพง ทำให้ไม่รกรุงรัง เท่านั้นยังไม่พอ หลายๆรุ่นมาพร้อม WI-FI อีกด้วย ลองดู video ด้านล่างนี้ เป็นการแนะนำตัว LG Home Thearter ที่มาพร้อม wireless speaker และทาง LG แจ้งว่าเป็นลำโพงที่มีขนาดบางที่สุดในโลกอีกด้วย
ยังไม่จบเรื่องไร้สาย ขอมาต่อกันที่ตัว Boxee Box ที่ทำหน้าที่เหมือน Apple TV นั่นคือเป็นตัวเชื่อมระหว่าง TV และ Internet ทำให้คุณสามารถดู Video content จาก Internet บน TV ได้เลย นอกจาก remote control ที่ออกมาคล้ายๆ Apple คือมีปุ่มกลางปุ่มเดียวแล้ว ทางด้านหลังยังมี keyboard ให้คุณสามารถ search content จาก Internet ได้อีกด้วย (อ่านเพิ่มเติมจากที่นี่ http://ces.cnet.com/8301-31045_1-10430037-269.html?tag=mncol;title)
3. USB 3.0 ของจริงมาแล้ว ในงานโชว์เครื่อง laptop ของ HP ที่ใช้ USB 3.0 transfer ข้อมูลขนาด 2.1GB จาก External Hard disk โดย USB 3.0 ใช้เวลา 1 นาที 4 วินาที เปรียบเทียบกับ USB 2.0 ซึ่งใช้เวลา 2 นาที 7 วินาที (อ่านเพิ่มเติมได้จากที่นี่ http://ces.cnet.com/8301-31045_1-10428132-269.html?tag=mncol;title)
4. Android ปีนี้มาแรงจริงๆ นอกจากจะมาในรูปของมือถือแล้ว Android ยังไปใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่นอีกมากมายเช่น ตู้เย็น หรือแม้กระทั่งเครื่องซักผ้า ล่าสุดได้นำมาใช้ในตัว Tablet โดย Motorola แล้วด้วย (ดู Tablet จาก Motorola ได้จากที่นี่ http://ces.cnet.com/8301-31045_1-10430835-269.html?tag=mncol;title)
5. Microsoft ประกาศตัว SlatePC หรือจะให้เข้าใจง่ายๆก็คือ Tablet นี่เอง ซึ่งใน keynote ของ Microsoft นั้นมีสามผู้ผลิต และหนึ่งในนั้นคือ HP โดยตัว SlatePC นั้น run ด้วย Windows7 เท่านั้นยังไม่พอ Project NATAL เป็นการ contral game โดยใช้ movement ของร่างกาย หากดูให้ง่ายก็เหมือนกับ Wii ยังงัยอย่างงั้น อย่างไรก็ตามทาง Microsoft แจ้งว่า Project NATAL ไม่ได้มีไว้สำหรับเล่นเกมเท่านั้น แต่จะสามารถใช้กับการสื่อสารด้านบันเทิงทุกรูปแบบ และพร้อมจะออกภายในปลายปีนี้แน่นอน
สำหรับเรื่องเด่นๆก็ยังมีอีกเช่น การเปิดตัวหูฟังของ Lady Gaga ชื่อ Red Heartbeats ในโครงการ (RED) โดยจะนำรายได้ส่วนหนึ่งไปบริจาคให้กับประเทศทาง Africa ด้วย
ยังมีเรื่องของ NEXUS ONE มือถือที่ออกโดย Google ที่คนพูดถึงกันเป็นอย่างมาก และในงานนี้ผู้คนก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดถึง Apple iSlate หรือ Tablet ที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอ ซึ่ง Apple เองก็ไม่ได้มาร่วมงาน CES 2010 นี้เลยด้วยซ้ำ แม้ว่า Microsoft จะออกตัว SlatePC มาก่อน แต่เชื่อว่าหลายคนยังจะรอดู Steve Jobs ในปลายเดือนนี้ว่าจะมี iSlate ออกมาจริงหรือไม่
อย่างรู้เรื่องของ CES 2010 แบบเต็มๆ พร้อม video สามารถดูได้จาก http://ces.cnet.com
วันอังคารที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
เปิดตัวกล่อง Microsoft Office 2010
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)